วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2559

ราคาผัก ผลไม้กำหนดจากอะไร…ทำไมราคาจากสวนจึงต่างจากราคาตลาดมาก

ราคาผัก ผลไม้กำหนดจากอะไร…



ราคาผัก ผลไม้กำหนดจากอะไร…ทำไมราคาจากสวนจึงต่างจากราคาตลาดมาก ...แม่ค้ากดราคาจริงเหรอ...

คำถามนี้ได้รับการแสดงความคิดเห็นกันอย่างมาก และความคิดส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดเป็นไปในทำนองว่า ทำไมราคาที่สวนจึงถูกนัก ทำไมในห้างจึงขายแพงขนาดนี้ คำตอบเดียว ก็คือ พ่อค้าคนกลางกดราคา พ่อค้ารวย ชาวสวนโดนเอาเปรียบ และหนึ่งเชื่อว่าชาวสวน 99% คิดแบบนี้ค่ะ และเป็นแนวคิดที่ถูกฝังหัวมาโดยตลอด ถามว่า ชาวสวนเคยมาเป็นพ่อค้า-แม่ค้าในตลาดรึเปล่า เคยรู้กลไกการตลาดรึเปล่า ก็ไม่เคย ถ้าหนึ่งไม่เคยมาเป็นแม่ค้ามะละกอหนึ่งก็อาจจะมองด้านเดียวเหมือนกัน แต่พอมาเป็นแม่ค้าสิ่งที่หนึ่งรับรู้และที่สัมผัสมันคนละเรื่องกันเลย

ราคาผลผลิตหรือกลไกตลาดมันเป็นการเฉลี่ยกำไรกันไปค่ะ อย่าง ราคาจากสวน 10 บาท ต้องมาบวกค่าขนส่งอีก 2-5 บาท ขึ้นอยู่กับระยะทาง มาถึงแผงค้าที่ตลาดขายส่ง(ตลาดไท สี่มุมเมือง)ก็เป็น 12-15 บาท(นี่แค่ค่าของ+ค่าขนส่งนะ) แม่ค้าตลาดไทมาบวกกำไรเพิ่มอีก 3-4 บาท ซึ่งจะเป็นค่าเช่าแผง ค่าแรงงาน ค่าความเสียหาย ราคาขายส่งหน้าแผงที่ตลาดไท สี่มุมเมือง) ที่ขายให้กับลูกค้าที่มาซื้อก็จะอยู่ที่ 16-18 บาท หักค่าใช้จ่ายแล้วแม่ค้าจะเหลือกำไรจริงๆก็ 1-2 บาทต่อกก.ค่ะ แต่ถ้ารอบนั้นมีผลิตเสียหายมากจากของไม่มีคุณภาพที่สวนส่งมาให้ กับ ของขายไม่หมด แม่ค้าก็จะขาดทุนได้เหมือนกัน จึงไม่ใช่ทุกรอบที่แม่ค้าจะได้กำไร แต่ถ้าขายหมดและไม่มีของเสียหายแม่ค้าได้กำไรทุกรอบค่ะ ซึ่งโอกาสจะยากมาก มันจะมีรอบที่กำไรและรอบที่เสมอตัวหรือขาดทุนกัน จากนั้นแม่ค้าที่ซื้อไปขายปลีกซึ่งก็จะเป็นตลาดนัดทั้งหลายก็จะบวกกำไรเพิ่มไปอีก 4-5 บาท เป็นค่าเช่าแผงขาย ค่ารถที่ต้องไปซื้อของที่ตลาด ค่าแรงและกำไรที่เขาจะได้ ราคาเมื่อถึงคนกินจริงๆ ตอนนี้จะเป็น 20-25 บาทล่ะ พอมองเห็นภาพไหมค่ะ ชาวสวนไม่ได้โดนกดราคาหรือโดนเอาเปรียบนะคะ มันเป็นกลไกค่ะ แต่สวนไปมองที่ราคาซื้อจากสวน กับราคาขายปลีกที่ต่างกันเยอะไงค่ะ ราคาสวน 10 บาท ราคาตลาดขายปลีก 20-25 บาท สวนก็จะรับไม่ได้ค่ะ

สวนอยากขายราคาแพงคุณต้องปลูกให้ได้ปริมาณที่มากพอค่ะเพื่อประหยัดค่าขนส่ง คุณมีผลผลิต 200 กก. มันวิ่งมาส่งตลาดไทก็ไม่คุ้ม ยิ่งอยู่ไกลตลาดยิ่งเสียเปรียบ เพราะค่าขนส่งยิ่งแพง และคุณก็ต้องส่งผ่านพ่อค้าคนกลางที่รวบรวมผลผลิตในพื้นที่ค่ะ ถ้าคุณทำปริมาณไม่ได้ก็ต้องยอมรับเงื่อนไขนี้ค่ะ หรืออีกอย่างขายเองในพื้นที่ค่ะ อย่าบอกว่าไม่มีเวลา ทำไม่ได้เด็ดขาดนะคะ แต่ถ้าคุณมีผลผลิต 1-3 ตัน คุณมาส่งเองได้ค่ะ เพราะฉะนั้นอยากได้ราคาดี ไม่อยากโดนกดราคาปลูกเยอะๆค่ะ อย่าปลูกน้อย ยิ่งปลูกน้อยยิ่งขายยากค่ะ

คราวนี้มาดูราคาซื้อสวนกำหนดจากอะไร อย่างวันนี้ ซื้อสวนมา 10 บาท ตลาดไทขาย 15 บาท แม่ค้าตลาดนัด 20 บาท แต่คนซื้อที่ตลาดนัดบอกแพง ไม่ซื้อ ขายไม่ได้ ฝนตก น้ำท่วมและสารพัดปัญหา พรุ่งนี้แม่ค้าตลาดนัดจะไม่กลับมาซื้อของที่ตลาดไท แต่ของที่ตลาดไทยังเข้ามาเหมือนเดิม ของจะล้น ของจะสุก เหี่ยว เสียหาย แม่ค้าตลาดไทจะต้องเทราคาขายเท่าทุนหรือขาดทุนทันทีค่ะ มะรืนแม่ค้าตลาดไทจะไปลงราคาที่สวนค่ะ เพราะราคาที่ตลาดนัดคนซื้อไม่ไหว ขายไม่ได้ ในทางกลับกัน ช่วงไหนของน้อย ขายดี ไม่พอขาย แม่ค้าตลาดไทจะไปขึ้นราคาที่สวนทันที ราคาในสวนก็จะขึ้นค่ะ ...นี่คือเหตุผลว่าทำไม ของมันจึงราคาขึ้นลงค่ะ เพราะไม่มีใครรู้ว่าวันนี้ของจะเข้าตลาดมากน้อยแค่ไหน จะขายกันได้เท่าไหร่ที่ตลาดกลาง(ตลาดไท สี่มุมเมืองค่ะ) หรือที่ตลาดนัดจะขายกันได้เท่าไหร่ มันเลยกำหนดราคาไม่ได้ค่ะโดยเฉพาะผักที่ราคาจะเปลี่ยนหลายราคาในวันเดียวค่ะ สวนก็อยากได้ราคาประกัน แต่ในความเป็นจริงมันทำยากค่ะกับการปลูกผัก ผลไม้ แม้แต่ในห้างยังต้องมีการเสนอราคาทุกอาทิตย์เลยค่ะ

คราวนี้มาถึง ราคาในห้างค่ะ ทำไมมันจึงสูงขนาดนี้ โดยปกติแล้วห้างจะซื้อสินค้าผ่านซัพพลายเออร์ หนึ่งบอกได้เลยว่า สวนจะส่งห้างเองโดยตรงทำได้ยาก แต่ก็ทำได้นะคะ แต่ส่วนใหญ่ไม่ยั่งยืนและยาวนานพอค่ะ เพราะออร์เดอร์ห้างจะแน่นอน สั่งของทุกวันๆละ 500-1500 กก. โดยประมาณค่ะ ต้องมีของส่งทุกวันตามใบสั่งซื้อค่ะ นั่นหมายถึงสวนต้องมีสินค้าที่มากพอที่จะส่งห้างได้ทุกวันค่ะ ห้างจะมีรอบการส่งของที่แน่นอนประมาณ 2 รอบต่อวันอย่างรอบ ตี 1 ,ตี 5, บ่ายโมง,บ่าย 3 โมง เป็นต้น คุณต้องมีรถไปส่งของให้ทันตามเวลาที่ห้างกำหนดวันละ 2-3 รอบ ห้ามสาย ถ้าสายโดนหักค่ะ แล้วคุณว่าคนขับรถที่ต้องส่งตี 1 กับ ตี 5 บางห้างมี ตี 3 อีก แต่ละคนจะอยู่ได้กี่เดือนค่ะ เปลี่ยนบ่อยที่สุดค่ะ แล้วซัพพลายเออร์ต้องมีจุดแพ็คสินค้ามาตรฐานตามที่ห้างกำหนดอีก รอบการจ่ายเงินห้างประมาณ 20-30 วัน นั่นเท่ากับว่าเราต้องส่งของไป 20-30 วัน จึงจะได้รับเงิน ถ้าเราส่งของวันละ 10,000 บาททุกวัน 20-30 วันก็เท่ากับ 200,000-300,000 บาท นั่นคือต้นทุนที่เราต้องจ่ายไปก่อนค่ะ รอไหวไหมค่ะ

ส่วนราคาที่ขายบนห้างเป็นราคาขายที่ห้างบวกค่าการจัดการ ค่าเสียหายจากผลผลิตที่เน่าเสีย ขายไม่ทัน ขายไม่หมดและค่าใช้จ่ายอื่นๆไว้อีก 30-35% ค่ะ เราไปเลือกของในห้างเห็นไหมค่ะ เราเลือกกันกระจุยกระจาย เขี่ยของไม่ดีทิ้งกันเยอะแยะ มันกลายเป็นต้นทุนกลับมาหาเราค่ะ ดังนั้นราคาที่ห้างซื้อจากซัพพลายเออร์ก็จะถูกหักไป 30-35% ค่ะ อย่างในภาพ ราคา 49 บาท ห้างจะซื้อซัพพลายเออร์ประมาณ 25-30 บาทค่ะ ซัพพลายเออร์ก็จะมีค่าใช้จ่ายในการซื้อของจากสวน ค่าขนส่ง ค่าพนักงาน ค่าเช่าตระกร้าห้างและอื่นๆ โดยส่วนต่างจากราคาซื้อสวน 8-10 บาทต้องมาจ่ายกับสิ่งเหล่านี้ ไหนจะต้องสำรองเงินที่ต้องจ่ายไปก่อนเป็นเงินก้อนโตอีกค่ะ ราคาซื้อสวนก็จะอยู่ที่ 15-20 บาทค่ะ สวนก็จะไปว่าซัพพลายกดราคาอีกค่ะ เพราะราคาในห้างขายตั้ง 49-59 บาท สวนเคยรู้ข้อมูลตรงนี้รึเปล่าค่ะ เห็นแบบนี้แล้วยังอยากขายของให้ห้างอยู่ไหมค่ะ ไม่ง่ายค่ะ

การขายสินค้าผลสด มันเดินอยู่บนความเสียหายค่ะ มันเน่าเสียง่ายค่ะ แต่คนกินอย่างเราๆก็อยากซื้อแต่ของสดๆ ดีๆ ถูกๆ ของเน่าๆ เสียๆ ช้ำที่เหลือจากที่เราเลือกซื้อไป ห้างก็ต้องทิ้ง นั่นคือค่าความเสียหายที่เขาคิดเผื่อไปไงค่ะ แต่สวนคุณขายได้ทุกลูกที่มาส่งนะคะ

ราคาสินค้ามันเป็นไปตามกลไกของตลาดค่ะ ถ้าสวนคิดว่าแม่ค้ากดราคา ลองมาขายเองนะคะ แล้วคุณจะเข้าใจและหลายคนเข้าใจอย่างลึกซึ้ง กลับไปทำสวนกันเหมือนเดิมมานักต่อนักแล้วค่ะ
***ถ้าเช็คราคาตลาดแล้ว โดนแม่ค้ากดราคาเปลี่ยนแม่ค้านะคะ หรือถ้าจะให้ดีอย่าขายแม่ค้าคนเดียวค่ะ เลือกขายแม่ค้าสัก 2 คน เพื่อเปรียบเทียบราคาซื้อกันค่ะ คุณจะไม่โดนกดราคาค่ะ


Rakkaset Nungruethail  รักษ์เกษตร

วันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2559

สอนแต่งหน้าเค็ก 081-8302918

Class :  เรียนแต่งหน้าเค็กปอนด์ 





ค่าเรียน :  4,500 บาท / คน
จำนวน  :  6 คน /  คลาส
รายละเอียด :  
 - แนะนำอุปกรณ์การแต่งหน้าเค็ก
 - เทคนิคการปาดครีมและตกแต่ง
 - เทคนิคการบีบดอกไม้ :
                                 Rose , Peony , English rose , Hydenyea , Apple blossom
                                 ball flower , Leaf 
พร้อมรับเค็กขนาด 3 ปอนด์

 หมู่บ้านกฤษดานคร 18 ซอยอัญมณี 17 ถนนพุทธมณฑลสาย 3
แขวงศาลาธรรมสพน์ เขตทวีวัฒนา
กทม. ประเทศไทย 
http://myfinehand02.lnwshop.com/

**สนใจติดต่อ 081-8302-918



วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ประวัติ ครูหมอชีวกโกมารภัจจ์




          ชีวก ชื่อหมอใหญ่ ผู้เชี่ยวชาญในการรักษา และมีชื่อเสียงมาก ในครั้งพุทธกาล เป็นแพทย์ประจำพระองค์ของพระเจ้าพิมพิสาร และพระเจ้าพิมพิสาร ได้ถวายให้เป็นแพทย์ประจำพระองค์ ของพระพุทธเจ้าด้วย

เรียกชื่อเต็มว่า ชีวกโกมารภัจจ์ หมอชีวกเกิดที่เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ เป็นบุตรของนางคณิกา (หญิง งามเมือง) ชื่อว่าสาลวดี แต่ไม่รู้จัก มารดาบิดาของตน เพราะเมื่อนางสาลวดีมีครรภ์ เกรงค่าตัวจะตกจึงเก็บตัวอยู่ ครั้นคลอดแล้วก็ให้คนรับใช้เอาทารก ไปทิ้งที่กองขยะ แต่พอดีเมื่อถึงเวลาเช้าตรู่ เจ้าชายอภัย โอรสองค์หนึ่งของพระเจ้าพิมพิสาร จะไปเข้าเฝ้า เสด็จผ่านไป เห็นการุมล้อมทารกอยู่ เมื่อทรงทราบว่าเป็นทารกและยังมีชีวิต อยู่ จึงได้โปรดให้นำไปให้นางนมเลี้ยงไว้ในวัง ใน ขณะที่ทรงทราบว่าเป็นทารก เจ้าชายอภัยได้ตรัสถามว่าเด็กยังมีชีวิตอยู่ (ยังเป็นอยู่) หรือไม่ และทรงได้รับคำตอบ ว่ายังมีชีวิตอยู่ (ชีวติ = ยังเป็นอยู่ หรือยังมีชีวิตอยู่) ทารกนั้นจึงได้ชื่อว่า ชีวก (ผู้ยังเป็น) และเพราะเหตุที่เป็นผู้อันเจ้าชายเลี้ยง จึงได้มีสร้อยนามว่า โกมารภัจจ์ (ผู้อันพระราชกุมารเลี้ยง)

ครั้นชีวกเจริญวัยขึ้น พอจะทราบว่าตนเป็นเด็กกำพร้า ก็คิดแสวงหาศิลปวิทยาไว้เลี้ยงตัว จึงได้เดินทางไป ศึกษาวิชาแพทย์กับอาจารย์แพทย์ทิศาปาโมกข์ ที่เมืองตักสิลา ศึกษาอยู่ ๗ ปี อยากทราบว่าเมื่อใดจะเรียนจบ อาจารย์ให้ ถือเสียมไปตรวจดูทั่วบริเวณ ๑ โยชน์รอบเมืองตักสิลา เพื่อหาสิ่งที่ไม่ใช่ตัวยา ชีวกหาไม่พบ กลับมาบอกอาจารย์ ๆ ว่า สำเร็จการศึกษามีวิชาพอเลี้ยงชีพแล้ว และมอบเสบียงเดินทางให้เล็กน้อย ชีวกเดินทางกลับยังพระนครราชคฤห์เมื่อ เสบียงหมดในระหว่างทาง ได้แวะหาเสบียงที่เมือง สาเกต โดยไปอาสารักษาภรรยาเศรษฐีเมืองนั้นซึ่งเป็นโรคปวด ศีรษะมา ๗ ปี ไม่มีใครรักษาหาย ภรรยาเศรษฐีหายโรคแล้ว ให้รางวัลมากมาย หมอชีวกได้เงินมา ๑๖,๐๐๐ กษาปณ์ พร้อมด้วยทาสทาสีและรถม้าเดินทางกลับถึงพระนครราชคฤห์ นำเงินและของรางวัลทั้งหมดไปถวายเจ้าชายอภัยเป็น ค่าปฏิการะคุณที่ได้ทรงเลี้ยงตนมา เจ้าชายอภัยโปรดให้หมอชีวกเก็บรางวัลนั้นไว้เป็นของตนเอง ไม่ทรงรับเอา และ โปรดให้หมอชีวกสร้างบ้านอยู่ในวังของพระองค์ ต่อมาไม่นานเจ้าชายอภัยนำหมอชีวกไปรักษาโรคริดสีดวงงอกแด่ พระเจ้าพิมพิสาร จอมชนแห่งมคธทรงหายประชวรแล้ว จะพระราชทานเครื่องประดับของสตรีชาววัง ๕๐๐ นางให้ เป็นรางวัล หมอชีวกไม่รับ ขอให้ทรงถือว่าเป็นหน้าที่ของตนเท่านั้น พระเจ้าพิมพิสารจึงโปรดให้หมอชีวกเป็นแพทย์ ประจำพระองค์ ประจำฝ่ายในทั้งหมด และประจำพระภิกษุสงฆ์อันมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข หมอชีวกได้รักษาโรค ร้ายสำคัญหลายครั้ง เช่น

ผ่าตัดรักษาโรคในสมองของเศรษฐีเมืองราชคฤห์ ผ่าตัดเนื้องอกในลำไส้ของบุตรเศรษฐี เมืองพาราณสี รักษาโรคผอมเหลืองแด่พระเจ้าจัณฑปัชโชตแห่งกรุงอุชเชนี และถวายการรักษาแด่พระพุทธเจ้าใน คราวที่พระบาทห้อพระโลหิต เนื่องจากเศษหินจากก้อนศิลาที่พระเทวทัตกลิ้งลงมาจากภูเขา เพื่อหมายปลงพระชนม์ชีพ หมอชีวกได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน และด้วยศรัทธาในพระพุทธเจ้า ปรารถนาจะไปเฝ้าวันละ ๒-๓ ครั้ง เห็นว่าพระเวฬุวันไกลเกินไปจึงสร้าง วัดถวายในอัมพวันคือสวนมะม่วงของตนเรียกกันว่า ชีวกัมพวัน (อัมพวัน ของหมอชีวก) เมื่อพระเจ้าอชาตศัตรูเริ่มน้อมพระทัยมาทางศาสนา หมอชีวกก็เป็นผู้แนะนำให้เสด็จไปเฝ้าพระพุทธเจ้า

ด้วยเหตุที่ หมอชีวกเป็นแพทย์ประจำคณะสงฆ์ และเป็นผู้มีศรัทธาเอาใจใส่เกื้อกูลพระสงฆ์ มาก จึงเป็นเหตุให้ มีคนมาบวชเพื่ออาศัยวัดเป็นที่รักษา ตัวจำนวนมาก จนหมอชีวกต้องทูลเสนอพระพุทธเจ้าให้ทรงบัญญัติข้อ ห้ามมิ ให้รับบวชคนเจ็บป่วย ด้วยโรคบางชนิด นอกจากนั้นหมอชีวกได้กราบทูลเสนอให้ทรงอนุญาตที่จงกรมและเรือนไฟ เพื่อเป็นที่บริหารกายช่วยรักษาสุขภาพของภิกษุทั้งหลาย หมอ ชีวกได้รับพระดำรัสยกย่องเป็นเอตทัคคะในบรรดา อุบาสกผู้เลื่อมใสในบุคคล

ข้อมูลจาก http://www.krmassageschool.com/know1.html

อ่านเพิ่มเติม ประวัติ  ครูหมอชีวกโกมารภัจจ์ 

วันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

จับฉ่าย NEWS





โชคเข้าข้างอดีตลูกจ้าง Google ขายโดเมนเนม google.com ได้เงิน 12,000 ดอลลาร์


เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อ Sanmay Ved พบความผิดพลาดของระบบซื้อขายโดเมนเนม ในเดือนกันยายนปีที่แล้ว เมื่อชื่อ google.com ปรากฏให้เห็นว่ายังไม่มีใครเป็นเจ้าของ เขานึกสงสัยจึงลองลงทะเบียนเป็นเจ้าของโดเมนเนมดังกล่าว
เขาจ่ายเงินไป 12 ดอลลาร์ในการลงทะเบียน โดยเจ้าตัวซึ่งเคยทำงานอยู่ Google กว่าห้าปี บอกว่าไม่คิดว่าจะโชคดีกับผลของการทดสอบตามความขี้สงสัยของตน 
แต่หลังจากที่ Google ทราบว่ามีผู้เข้าซื้อโดเมนชื่อบริษัท ซึ่งคนทั่วโลกใช้อยู่เป็นประจำ และเกิดความขัดข้องที่หน้าเว็บ Google จึงขอซื้อชื่อ google.com คืนด้วยราคา 12,000 ดอลลาร์ 
ราคานี้ทำให้ Sanmay Ved ฟันกำไรหนึ่งพันเท่าในเวลาเพียงชั่วพริบตา และเงินก้อนนี้น่าจะช่วยเขาไม่มากก็น้อย เพราะตอนนี้เขาเป็นนักเรียนปริญญาโทบริหารธุรกิจอยู่ที่ Babson College ใกล้นครบอสตั้น




วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

หุ้น "ถูก/แพง/ขึ้น/ลง" ดูอย่างไร







คำทั้งสี่คำนี้ ทำให้คนเล่นหุ้นขาดทุนตลอด เพราะไม่เข้าใจวิธีการใช้ ...เราจะยกตัวอย่างจากหุ้นจริงให้ดู

ตัวอย่างสำหรับคนไม่เข้าใจ
ลองมาดู PTT ...
"ราคาถูก" อันนี้ ต้องไปเทียบกับพื้นฐาน ...คนที่ยังวิเคราะห์ Fundamental ไม่เป็น อาจไปขอ Target Price ของราคาพื้นฐานของหุ้นแต่ละตัวที่ Broker ก็ได้ ...แต่ต้องเข้าใจว่า "ราคา" กับ "พื้นฐาน" ไม่จำเป็นต้องวิ่งไปในทางเดียวกันตลอดเวลา มันจึงเป็น โอกาสให้นักลงทุนสามารถทำกำไรได้นั่นเอง

การที่บอกว่า ราคาถูก คือ "ราคา" ในเวลานั้นต่ำกว่า "พื้นฐานจริงๆของกิจการ" ... แต่โดยส่วนใหญ่ เมื่อราคาถูก มันถูกเพราะคนส่วนใหญ่ขาย ...นั่นแปลว่า Demand & Supply ...จะส่งผลให้ราคาหุ้น เป็น Trend ขาลง ...ดังนั้น หุ้นถูก ก็คือ หุ้นที่อยู่ในขาลง -- ดังนั้น การซื้อหุ้นถูก ก็คือ "ซื้อแล้วหุ้นไม่ควรจะลงต่อ" อย่างหุ้นถูก ก็คือ ราคาต่ำกว่า 300 บาท ...แต่ถ้าซื้อในจุดที่ต่ำกว่า 300 บาท โอกาสที่ซื้อแล้วลงต่อ มีสูง ... ดังนั้น คนที่ต้องการซื้อหุ้นถูก ก็ต้องทำใจแล้วว่า การซื้อในเวลานั้น หุ้นอาจลงต่อ
แต่เราต้องมองหาราคาที่หุ้นไม่เคยลงเกินกว่านี้ มือใหม่ให้เริ่มจากราคาไม่เกิน 10 บาท จะเห็นว่า ราคาขึ้นลงไม่เกิน 3 บาท ไม่อยากให้ทุกคนสนใจที่ราคาของหุ้น แต่ควรจะ  focus ไปที่ความสามารถในการหาเงินของหุ้นตัวนั้น ตัวที่เราสนใจ ตามช่วงระยะเวลาที่เราต้องการ เช่น 1 เดือน  1 ปี ว่าหุ้นที่เราซื้อ ลงต่ำสุด กี่บาท  ขึ้นสูงสุดกี่ เปอร์เซ็น  กำไรจากการซื้อหุ้นจะอยู่ตรงช่วงนี้

สรุปคือ "คนที่ซื้อหุ้นถูก คือต้องซื้อในช่วงขาลง ราคาจะต้องไม่ลงต่ำกว่าทีคำนวนไว้  การซื้อหุ้นตอนถูก ก็ย่อมมีหุ้นราคาแพงในอนาคต คนเล่นระยะยาวก็ได้กำไรจากตรงนั้น (ถ้าทำใจเห็นราคาหุ้นที่ตัวเองซื้อลงต่อไม่ได้ ห้ามสนใจเวลาหุ้นที่เราซื้อลงให้คิดว่าราคาขณะนั้นถูกแล้วราคาที่เราซื้อเหมาะสมเพราะตอนที่เราซื้อเรารู้ว่ามันถูกรอจังหวัะที่มันลง30%แล้วซื้อนั้นแหละหุ้นถูก ต้องมองดูให้รู้ว่าปกติมันวิ่งขึ้นไปเท่าไรแล้ววิ่งลงมาสุดเลยแค่ให ..แก้ไขโดยหยุดซื้อหุ้นถูก แล้วไปเลือกใช้วิธีการลงทุนแบบซื้อหุ้นแพง แล้วไปขายแพงกว่าแทน ซึ่งวิธีการนั้นเราเรียกว่า Technical Analysis "คือ ซื้อแพง ไปขาย แพงกว่า")

.....ลองหลับตา แล้วคิดดีๆ ว่า คุณกำลัง งง ใช่หรือไม่ ..."ไม่แปลก เพราะคนส่วนใหญ่ ไม่เข้าใจเลย ..ผลก็คือ ซื้อแล้ว งง ขายก็ งง สรุปขาดทุนตลอดเวลา เพราะไม่รู้ว่า กำลังทำอะไรอยู่"

ในทางตรงกันข้าม ..

"ราคาแพง" ...ราคาแพง ก็คือ หุ้นแพงกว่าพื้นฐาน ..อย่างตัวอย่างคือ หุ้นแพง คือ ราคาเกิน 380 บาท ... แต่ถ้าราคาวิ่งขึ้นเลย 380 บาทจริง ...หุ้นจะเข้า Trend ขาขึ้นอย่างเต็มที่ (ราคา Break เส้นแดง New High) ...นั่นแปลว่า ซื้อแพง แต่ซื้อแล้ว ราคามันจะวิ่งไปต่อ

--- ที่ผมพูดมา มันอาจฟังดู ไม่เข้าท่า ..แต่ลอง เอาสิ่งที่ผมพูดไปทำความเข้าใจ ...แล้วคุณจะเริ่มเข้าใจมากขึ้นว่า 4 คำนี้ "ถูก/แพง/ขึ้น/ลง" ...เป็นสิ่งที่นักลงทุนกว่า 80% ในตลาด ไม่เข้าใจเลย และมั่วมาก .....

คนที่จะซื้อหุ้นลงทุนระยะยาว ต้องซื้อ "หุ้นถูก" (ไม่จำเป็นต้องถูกที่สุด เพราะไม่มีใครสามารถซื้อหุ้นได้ถูกที่สุด)

คนที่ต้องการลงทุนระยะสั้น ต้องซื้อ "หุ้นแพง" แล้วไปขายแพงกว่า ...เพราะ หุ้นแพง มักอยู่ใน Up Trend คือ ซื้อแล้วขึ้นเลย ... แต่คิดดีๆนะ การซื้อหุ้นแพง คือ เราซื้อตอนมันแพง ดังนั้น เราไม่มี Room ให้ขาดทุน ..เพราะถ้าคุณผิดทาง คุณจะเสียหายหนัก ดังนั้น คนที่จะเล่นวิธีนี้ ต้องศึกษา Technical และมีวินัย มีจุด Cut Loss ที่ชัดเจน ...เพราะความเสี่ยงมันมากกว่า

--- ทำความเข้าใจดีๆครับ "ต้องเลือกให้ถูกว่า เราจะลงทุนแบบไหน แล้วใช้วิธีนั้น" แล้วการลงทุนของคุณจะดีขึ้น!!

The Big Short เกมฉวยโอกาสรวย สุดยอดภาพยนตร์แห่ง ปี 2016



   

                         The Big Short เกมฉวยโอกาสรวย
                  ใครหาเรื่องเต็มให้หน่อย .....แบ่งกันบ้าง


http://hdmovie14.net/watch/the-big-short-2015



ก่อนอื่นเลยต้องแนะนำว่า สำหรับคนที่ต้องการดูหนังเพื่อผ่อนคลาย ไม่เหมาะกับภาพยนตร์เรื่องนี้ …คนที่ต้องการดูหนังแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก ไม่เหมาะกับภาพยนตร์เรื่องนี้ …คนที่อยากดูหนังรัก ไม่เหมาะกับภาพยนตร์เรื่องนี้

การดูภาพยนตร์เรื่องนี้ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ซีเรียสอะไร แต่คุณต้องใช้สมาธิจดจ่ออยู่กับหนังตลอดเวลา ห้ามวอกแวกเด็ดขาด และต้องคิดตามอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้เข้าใจได้เต็มที่ และได้อรรถรสจากหนังมากยิ่งขึ้น


ภาพยนตร์เรื่องนี้มีพลอตที่เด็ดดวงมาก ส่วนบทนี้ยิ่งเด็ด มีวิธีการเล่าเรื่องที่ค่อนข้างจะแปลก และกวนอยู่ไม่น้อยเลย

และก่อนเข้าไปดูนี้ทำใจเอาไว้แล้วว่าอาจจะไม่เข้าใจหนังเต็มที่ เพราะสกิลทางด้านการเงิน-การลงทุนนี้ต่ำเตี้ยเรี่ยดินชนิดลิมิตเข้าใกล้ศูนย์ …แต่คิดผิดอย่างแรง หนังเรื่องนี้มีแนวคิดการแลคเชอร์เนื้อหายากๆได้เจ๋งมากจริงๆ และนั้นทำให้ถ้าคุณมีสมาธิพอ และคิดตามมัน คุณจะเข้าใจได้อย่างง่ายดายมาก …ดังนั้นเรื่องที่ไม่มีความรู้ด้านการเงิน ไม่ต้องกังวล


เรื่องนักแสดง

1 Dr. Michael Burry (Christian Bale) เป็นผู้จัดการกองทุนที่มีวงเงินมหาศาล คิดอะไรอย่างมีตรรกะ (logic) ทุกอย่างที่ทำผ่านการคำนวณมาอย่างแม่นยำแล้ว และเข้าสังคมไม่ได้เลย มนุษยสัมพันธ์แย่มาก ความบันเทิงอย่างเดียวของชีวิตคือเพลงร็อค

2 Mark Baum (Steve Carell) เป็นผู้จัดการกองทุน ซึ่งเป็นบริษัทขนาดเล็กกว่าของไมเคิลนะครับ เป็นคนที่อยากทำอะไรก็ทำ อยากพูดอะไรก็พูด ไม่ชอบเก็บอะไรเอาไว้ในใจ ยกเว้นเรื่องเดียวคือปมภายในใจ สำหรับการลงทุน มาร์คต้องสืบจนแน่ชัดแล้วว่ามันจริง ถึงจะทุ่มหมดหน้าตัก เป็นคนที่มีศีลธรรมสูงมาก

3 Jared Vennett (Ryan Gosling) เป็นเทรดเดอร์ ซึ่งชื่นชอบการเสี่ยงดวงและไม่ยอมให้โอกาสทองหลุดมือไป

4 Ben Rickert (Brad Pitt) เป็นนายธนาคารที่เกษียณตัว เป็นผู้ที่ใช้อาชีพสร้างความร่ำรวย และพอใจกับที่มีแล้ว มีความสงบตามวัย และสิ่งที่ทำให้เค้ากลับเข้ามาในวงการการเงินอีกครั้งคือการเห็นแก่ความสัมพันธ์กับ  Charlie Geller (John Magaro) และ Jamie Shipley (Finn Wittrock) นักลงทุนมือใหม่ฝืมือฉกาจ

พูดเลยว่าทุกคนแสดงได้ดีมากๆ และอินมากครับ ช่วงเวลา 130 นาทีมันสั้นจริงๆ สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้


.และภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ 3 สาขา ได้แก่
  • ภาพยนตร์สาขาภาพยตร์ตลก/เพลงยอดเยี่ยม
  • ดารานำชายสาขาภาพยตร์ตลก/เพลงยอดเยี่ยม (คริสเตียน เบล และ สตีฟ คาเรลล์ ได้รับการเสนอชื่อทั้งคู่)
  • บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม

ขอบคุณข้อมูลจาก
http://wonnee.com/movie/review-the-big-short-%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B9%82%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A2/


วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2559

ท่าฝึก 10 นาที เปลี่ยนรูปร่างคุณไปตลอดกาล


ท่าฝึกชุดนี้ ผมไม่ได้คิดเอง แต่เป็นของ แกดดัวร์ ผู้เชี่ยวชาญ ด้านฟิตเนส และ ผู้สร้างสรรค์โปรแกรม10 Minute Torchers  ซึ่งการฝึกชุดนี้ ใช้เวลา เพียง 10 นาที โดย วิธีการฝึก นั้น แต่ละท่า ใช้เวลา 1 นาที (หยุดฝึก เมื่อท่าทางในการฝึก ไม่ถูกต้อง ) การฝึก ให้ฝึกเรียงท่า ตามที่กำหนด โดยไม่มีการพักระหว่างท่า  เมื่อฝึกจนครบ ทุกท่าแล้ว ให้หยุดพัก 1 นาที การฝึกชุดนี้ สามารถ ทำซ้ำได้ อาจจะทำซ้ำ  ได้มากสุด 4 รอบต่อไป โดยจัดเป็นการ ฝึกแบบ เซอกิตเทรนนิ่ง เพื่อการเบิร์น และสร้างกล้ามเนื้อ สำหรับ คนที่ไม่ได้เล่นเวตได้ โดย ให้ฝึก วันเว้นวัน เหมือนการเล่นเวต

การฝึกชุดนี้ อาจดูมีไม่กี่ท่า แต่ รับรองว่า ท่าฝึกนี้ นั้น หนักหน่วงเพียงพอ จะใช้ทดแทนการ เวตได้เลยทีเดียว รวมทั้ง สามารถ เบิร์น ได้มากด้วย สำหรับใครที่ การเวต แบบ bodyweight แล้วอยากเบิร์น ไปด้วย ก็จัดไปเลย  3-4รอบ แต่ถ้าเป็นผู้ฝึกใหม่ ก็สามารถฝึกได้ แต่อาจจะมีการปรับท่า หรือ ลดเวลาในการฝึกลง ก็สามารถทำได้ แต่ขอให้ลักษณะความถูกต้องของท่าเอาไว้เท่านั้น

ท่าฝึก

1.Uneven Plank

ตั้งท่าวิดพื้นโดยวาง ฝ่ามือขวาลงกับพื้นตั้งหน้าแขนซ้าย ยันพื้นเอาไว้   เกร็งแกนกลาง ให้แน่นและ หยุดค้างไว้ เมื่อผ่านไป 30 วินาที แล้วจึงเปลี่ยนสลับข้าง โดยวางฝ่ามือ ซ้ายลงกับพื้น ตั้งหน้าแขนขวาขึ้น

2.Side Plank With Quad Stretch


นอนตะแคงซ้าย เหยียดขาให้สุด และตั้งหน้าแขนซ้ายขึ้นรับน้ำหนักตัวช่วงบนยกสะโพกขึ้นจนลำตัวตั้งแต่ไหล่ไป จนถึงข้อเท้าเป็นเส้นตรง จากนั้นยกหน้าแข้งขวา ให้ข้อเท้าเลื่อนเข้าใกล้ช่วงบั้นท้ายมากที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยใช้มือขวา จับปลายเท้าเพื่อค้างท่านี้เอาไว้ ทำข้างละ 30 วินาที 
3.Crab Reach
ตั้งท่าโดยวางฝ่ามือ และเท้าราบไปกับพื้น เริ่มฝึกด้วยการยกสะโพกขึ้น และเอื้อมมือขวา ข้ามไหล่ซ้ายไปด้านหลัง หยุดเกร็งค้างไว้ก่อนจะย้อนกลับมาเริ่มท่าใหม่ ฝึกซ้ำโดยการเปลี่ยนข้าง จนครบ 1 นาที
4.Lateral Pistol Squat 
ยืนเว้นระยะห่างปลายเท้าให้มากกว่าความกว้างของช่วงไหล่สองเท่า เหยียดแขนทั้งสองไปด้านหน้าที่ความสูงระดับไหล่ ถ่ายน้ำหนักตัวมาทางขวา พร้กมับดันสะโพกไปด้านหลัง และย่อตัวลงให้ลักมากที่สุด ค้างท่าไว้ แล้วสลับด้าน ทำให้ครบ 1 นาที 

5.Standing Leg Raise


ยืนทิ้งน้ำหนักไปที่เท้าขวา ยกเท้าซ้ายขึ้นแล้วเหยียดแขน ตามไปสองข้าง ค้างท่าไว้ โดยการติดนิ่ง เมื่อหมดแรง ก็ค่อยๆย่อขาลงมา แล้วทำกลับไปใหม่ จนกว่าจะครบ 30 วินาที ทำ 2 ข้าง ครบ 1 นาที

6.Isometric Squat Ladder 



เหยียดแขนสองข้างไปด้านหน้า ที่ระดับไหล่ ปลายเท้าสองข้าง กว้างระดับไหล่ แล้วย่อลง โดย ที่เข่าไม่พ้นปลายเท้า ลักษณะ ก้นเหมือนหย่อนลงนั่งส้วม จังหวะลง ค้างท่าไว้ สักพัก แล้ว ขึ้น จังหวะขึ้น ให้ ดันสะโพกรับ แต่ไม่เด้ง ทำจนครบ 1 นาที พยายามรักษาเวลา โดยการหน่วงท่าให้ช้าลงทุกครั้งที่ฝึก (รูปที่ใส่ไป อาจจะไม่ตรงท่านักเพราะเข่ากว้างไป ให้แก้ท่า ให้หุบเข่าลง )

7.Archer Pushup



เป็นท่าวิดพื้นที่ มีลักษณะ การกางแขน ย้ายตำแหน่งซ้ายขวา เหมือนการ ยิ่งธนู จึงเรียกว่า ท่าวิดพื้นโรบิดฮู้ด อันนี้ผมตั้งเอง จังหวะ แรก ให้วางมือ 2 ข้างเหมือน วิดพื้นปกติ แล้วค่อย ทิ้งตำแหน่งของแขนไปโดยการย่อแขน และกางแขน เหมือนกำลัง ดึงสายธนู ดูภาพเอาง่ายกว่า ทำ สลับกัน โดยพยายาม หน่วงเวลา เพิ่มขึ้น ทุกๆครั้งที่ฝึก รักษาความถูกต้องของท่า และ รักษาการเคลื่อนไหว ไม่ให้ กระชาก หรือ ล็อกศอก เพื่อผ่อนแรง แบบนั้นไม่เอา ทำสลับข้างจนครบ 1 นาที

8.Airborne Lunge




เหยียดแขนสองข้าง แล้ว ย่อเข่าลง อย่าให้เข่า เลยปลายเท้า เพราะ มันจะมีปัญหากับเข่า และ จะล้ม ให้โถมตัวไปข้างหน้า ขาหลังยกลอยขึ้น เข่าไม่แตะพื้น ลงให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วยันตัวขึ้น ทำสลับข้าง จนครบ 1 นาที


9.Iron Cross To OverHead Pushup Hold Super set 

ชื่อยาวมากเลย จริงๆมันคือท่าที่ รวม 2 ท่าเข้าด้วยกัน ซึ่งเป็นท่าวิดพื้น โหด 2 ท่าคือ PushUp-LaLanne และ Iron Cross Pushup เข้าด้วยกัน โดยเริ่มทำ  ทีละท่า ท่าละ 30 วินาที

ท่าแรก Iron Cross Pushup


เหมือนวิดพื้นทั่วไป แต่กางแขนออก อกไม่แตะพื้น ขึ้นลงช้าๆ

ท่าที่สอง LaLane Pushup 


ท่านี้ จริงๆในรูปเป็น lalane finger push up ใครอยากใช้ ปลายนิ้ว วิดพื้น ก็ลองท่านี้ได้ หรือใช้จะใช้ ท่านี้ แล้ว วิดด้วยมือเดียวก็ได้ โชว์เทพกันไป

2ท่านี้ฝึก ท่าละ 30 วินาที ขึ้นลง ช้าๆ จนครบ 1 นาที เป็น Superset เพราะเล่น 2 ท่าต่อเนื่อง ในมุม ที่ต่างกัน ได้กล้ามเนื้อ ในกลุ่มเดียวกัน ที่ใช้ร่วมกัน

10.Isometric Jump Squat Ladder 



เป็นท่าสควอดจั้มป์ ที่มี จังหวะค้างท่าไว้ เพราะมันเป็น Isometric มันเลยต้องมีการค้างท่าไว้ ผมเขียนเรื่องนี้ไปแล้ว ว่า Isometric คือ การออกกำลังกาย โดยการเกร็งกล้ามเนื้อ ค้างไว้ ในบทก่อนน่ะนะ ท่านี้มันก็เป็น สควอดจั้มน่ะแหล่ะ แต่มันมีค้างท่า โดยในจังหวะดันตัวขึ้น ให้สะโพกรับด้วย แต่ไม่ใช่เด้งสะโพกนะ มีคำเตือนนิดนึง สาวๆ ทำท่านี้ ให้ระวังหัวเข่าให้ดี เพราะ สะโพกผู้หญิง ในช่วงที่เป็นเบ้าต่อกับ กระดูกต้นขา มันจะ หมุนเข้าหาด้านใน ทำให้ ผู้หญิง เวลาเดิน เข่าจะ เข้าหากัน เหมือน เป็ด ซึ่งเวลาทำ Squat Jump ต้องระวังจังหวะลง เขามันจะชนกัน มันจะทำให้บาดเจ็บได้ ให้ระวัง

สำหรับการฝึกชุดนี้ หลายๆท่าเป็นท่าที่หนัก แม้ทำไม่กี่นาที ก็หนัก ผมรู้ว่า คนคิด เป็นฝรั่งเวลาจัดอะไรสักอย่าง หนักตลอด คนเอเชีย โดยเฉพาะชาวไทย ทำยาก อย่างท่า วิดพื้นแบบโรบินฮู้ด มันก็ยากไป ใน 10 นาที สามารถ ไปแกะท่า แล้วทำแยกก็ได้ ไม่จำเป็นต้องทำให้ครบ 10 นาทีก็ได้  แกะออกมาใหม่ ผมเคยเขียนเรื่อง การแกะท่า เพื่อไปฝึกแยกมาแล้ว คุณไปแกะท่ามา โดยในบางที ถ้าหากยากมาก อย่าง Iron Cross ก็อาจดัดแปลงเป็นท่าที่เบากว่า โดยให้ทำในระดับ ศอกแทน แทนที่จะใช้การกางแขนจนสุด เอาศอกพอ ตามหลักการ Overload ที่ผมเขียนไปแล้ว พอคุณทำจนคล่อง ค่อยเพิ่ม ความยาวของระยาง ให้มากขึ้นไปแทน ผมอยากให้ แกะท่าไปฝึก ถึงแม้จะไม่ได้ผลในการฝึก เท่ากับ วิธีการฝึก ที่เค้ากำหนดมา แต่ ถ้าเราฝึก โดยการปรับขั้นตอนไป ก็จะทำท่าที่ยากกว่านี้ หรือ หนักกว่านี้ได้ ทดลองดูนะ ไว้ในอณาคต อาจจะมีการฝึก หรือ ท่าแปลกๆมาแนะนำอีก ซึ่งผมกำลัง รวบรวม ท่า วิดพื้น หลายๆท่า มานำเสนอ แต่มันเยอะ ก็หารูปยากด้วย อย่างเช่น knee Tap push up มันหารูปยาก ขนาด ใน youtube ก็ไม่ค่อยมีคนทำกัน  เอาไว้ใช้เวลาหาหน่อย เพราะมันมี มากกว่า 100 ท่า จริงๆ ผมว่า วิดพื้นอย่างเดียว มีเกือบๆ 500 ท่าได้ ดัดแปลงกันจน เยอะเว่อร์ 

ขอบคุญข้อมูลจาก

http://squeeze-lowfat.blogspot.com/2016/01/10.html

วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2559

Google จ่าย Apple 1 พันล้านดอลล์

จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อสอง ค่ายใหญ่จับมือกัน

 



 Google จ่าย  Apple 1 พันล้านดอลล์
        กลายเป็นประเด็นที่หลายคนให้ความสนใจสำหรับความจริงที่ซ่อนในเอกสารที่ออราเคิล (Oracle) ชี้แจงต่อศาลเพื่อเอาผิดเจ้าพ่ออินเทอร์เน็ตอย่างกูเกิล (Google) ในคดีละเมิดลิขสิทธิ์ โดยสำนวนฟ้องระบุว่า กูเกิลได้จ่ายเงิน จำนวน 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 3.5 หมื่นล้านบาท แก่แอปเปิล (Apple) เพื่อให้ได้เป็นผู้ให้บริการค้นหาข้อมูลบนอุปกรณ์ไอโอเอส ในปี 2014 โดยทั้งแอปเปิล และกูเกิลได้แบ่งปันรายได้จากธุรกิจค้นหาบนอุปกรณ์ไอโอเอสระหว่างกันอย่างอิ่มหนำสำราญ

 สำหรับการฟ้องร้องระหว่างออราเคิล และกูเกิล คดีนี้ ออราเคิลกล่าวหากูเกิลว่า นำเอาซอฟต์แวร์จาวา (Java) ไปสร้างระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ (Android) โดยไม่ได้รับอนุญาต โดยชี้แจงว่า กูเกิลมั่งคั่งเพราะรายได้จากแอนดรอยด์ จุดนี้มีการระบุตัวเลขว่า กูเกิลสามารถทำรายได้จากแอนดรอยด์สูงกว่า 3.6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ นับตั้งแต่เริ่มสร้างระบบปฏิบัติการยอดนิยมนี้ขึ้นมา 

ติดตามเพิ่มเติมได้ที่ http://www.manager.co.th       

วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2559

Lifestyle ... the principles of the Buddha



Lifestyle ... the principles of the Buddha.
Shostakovich was born wit
Ignorance is suffering
I do not know is suffering.
I was troubled to know
Truth is, most of soulless
Calculate how much as it should







ประวัติวัดโบราณ รอบเกาะรัตนโกสินทร์

Do you know what makes people crazy (work) stress.

รู้หรือไม่ว่า อะไรทำให้คนบ้า(งาน) เครียดมากที่สุด ????
 Do you know what makes people crazy (work) stress.




สิ่งเหล่านั้น คือ การทำลายสมาธิ



        โลกทุกวันนี้เต็มไปด้วยสิ่งยั่วยุต่าง ๆ มากมายที่เป็นตัวการทำลายสมาธิ ไม่ว่าคุณจะเป็นคนหนึ่งที่เป็นคนสมาธิสั้นเอง หรือต้องทำงานกับบุคคลที่มีสมาธิสั้นก็ตาม วิธีกำจัดตัวทำลายสมาธิจะช่วยให้เราประสบความสำเร็จในชีวิตได้ เพราะตัวทำลายสมาธินั้นมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ในโลกปัจจุบัน ผู้อ่านคงอยากรู้ว่า 10 ข้อของตัวทำลายสมาธินั้นคืออะไรและมีวิธีแก้ไขได้อย่างไรบ้าง
       
       1. สื่อโลกสังคมออนไลน์ เป็นการง่ายที่เราจะติดต่อกับสังคมออนไลน์และใช้เวลากับการกดไลก์กับข้อความ หรืออ่านโพสต์ของเพื่อนมากกว่ามีจิตใจจดจ่อในการทำงาน บางครั้งเราใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆในการโพสต์ หรือโต้ตอบข้อความ สิ่งเหล่านั้นล้วนแล้วแต่เป็นตัวทำลายสมาธิในการทำงานทั้งสิ้น
       วิธีการแก้ไขง่าย ๆ คือ หลีกเลี่ยงการเข้าไปข้องแวะ หรือติดต่อทางสังคมออนไลน์ในเวลาทำงานแต่ให้ทำในช่วงเวลาพักแทนเพื่อว่าเมื่อถึงเวลาทำงานจะมีจิตใจจดจ่อกับงาน แต่ถ้าไม่สามารถทำได้จริง ๆ ให้ใช้วิธีนำเครื่องมือสื่อสารเหล่านั้นไปไว้ให้ไกล ๆ เพื่อที่เราจะไม่สามารถติดต่ออินเทอร์เน็ตได้จะเป็นการช่วยตัดปัญหาการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสังคมออนไลน์ทำทำให้ขาดสมาธิได้
       
       2. ตอบอีเมลถล่มทลาย การตอบอีเมลส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวกับการทำงาน นับเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เราขาดสมาธิในการทำงานเพราะในแต่ละวันจะมีอีเมล์เข้ามามากมาย หลั่งไหลเข้ามาในเมล์บล็อคของเรา อีเมลเหล่านี้ต่างก็ทำให้เราขาดสมาธิในการทำงาน
       วิธีแก้ไขง่ายง่าย คือ จัดเป็นเวลาเฉพาะสำหรับการตอบอีเมล อย่าให้การตอบอีเมลเป็นช่วงขัดจังหวะในการทำงานหรือความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ในการทำโครงการใดโครงการหนึ่งให้สำเร็จ และยังเป็นการช่วยให้เราจัดเวลาอย่างสมดุลยอีกด้วย
       
       3. เสียงโทรศัพท์มากมายนับไม่หวาดไม่ไหว การที่ต้องใช้เครื่องมือสื่อสารเช่นโทรศัพท์ก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่เป็นตัวทำลายสมาธิในการทำงานอย่างมากดังนั้นวิธีการแก้ไขที่ทำได้คือให้ตั้งกริ่งโทรศัพท์เป็นสัญญาณให้รู้ว่าใครโทร.มาโทรศัพท์จากคนภายนอกหรือคนในครอบครัว โทรศัพท์บางสายนั้นไม่สำคัญ สิ่งที่เราทำได้คือปล่อยให้ฝากข้อความไว้และเมื่อมีเวลาให้เรามาฟังข้อความทั้งหมดแล้วโทรกลับไปได้ภายหลัง
       
       4. หากคุณเป็นคนที่สามารถทำอะไรหลายหลายอย่างได้ในเวลาเดียวกัน อาจจะถือว่าเป็นกำไรของคุณแต่ในความเป็นจริงแล้ว มีการวิจัยทดลองที่พบว่ามีหลายคนที่สามารถทำงานหลาย ๆ อย่างได้ในเวลาเดียวกันแต่ผลที่ออกมาจะใช้เวลามากกว่าคนที่ทำงานหนึ่งให้เสร็จไป เป็นชิ้น ๆ และเริ่มงานชิ้นใหม่
       
       วิธีการแก้ไขง่าย ๆ คือ หากคุณเป็นคนหนึ่งที่สามารถทำงานหลาย ๆ อย่างได้ในเวลาเดียวกันให้คุณเก็บงานเหล่านั้นไว้และไปใช้ในสิ่งที่จำเป็นกว่าเช่นในขณะที่รับโทรศัพท์คุณก็สามารถจัดโต๊ะได้ในเวลาเดียวกัน ทำให้สะอาดเรียบร้อยแต่หากเป็นโครงการงานใหญ่ ๆ ให้เราทำให้เสร็จไปแต่ละชิ้นต่อ ๆกันจะดีกว่าการทำหลายอย่างในเวลาเดียวกัน
       
       5. หากเป็นงานที่แสนจะน่าเบื่อและคุณไม่ชอบที่จะทำงานนั้นอาจจะทำให้คุณอยากจะทำงานอื่นมากกว่างานที่ น่าเบื่อนั้น วิธีแก้ไขง่าย ๆ คือ การให้รางวัลกับตัวเองเช่นหากเราทำงานนี้เสร็จเราจะใช้เวลาพัก 10 นาที อาจจะออกไปเดินเล่นหรือไปนั่งทานกาแฟให้สบายใจก็ได้ การให้รางวัลกับตัวเองเป็นเหมือนตัวล่อตัวหนึ่ง ที่ทำให้เราอยากทำงานนั้นให้ลุล่วงไป หรือให้รางวัลตัวเองโดยการไปออกกำลังกาย ไปเดินเล่นฟังเพลงเบา ๆ สัก 10 หรือ 15 นาที จะทำให้เรามีแรงจูงใจและสมองปลอดโปร่งอีกด้วย
       
       6. สมองมีความสับสนวุ่นวาย ทำให้ไม่สามารถมีจิตใจจดจ่อในการทำงานได้เช่นต้องไปซื้อกับข้าวเย็นนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ขาดมากมายที่บ้านและต้องซื้อให้ครบ สิ่งเหล่านี้ทำให้เราขาดสมาธิในการทำงานได้
       วิธีการแก้ไขง่ายๆคือ ให้เราใช้ตัวช่วย คือ การจดบันทึกรายละเอียดของสิ่งที่ต้องซื้อเพราะเมื่อถึงเวลาเย็นเราสามารถจะนำรายการเหล่านั้นไปซื้อของได้โดยที่ไม่ลืม และจะทำให้เรารู้สึกสบายใจที่เราสามารถจะทำงานได้ครบถ้วนด้วย
       
       7. ความเครียด นับเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราไม่สามารถมีสมาธิในการทำงานได้หากเรามีความเครียดมากจะส่งผลถึงร่างกายเช่นปวดหัว ปวดไหล่ ปวดท้อง ปวดเอว เป็นต้น วิธีการแก้ไข คือ พยายามหาสาเหตุของความเครียดนั้นและแก้ไขให้ตรงจุด หรือใช้เทคนิควิธีการหายใจเข้าลึกลึกและออกให้หมด ทำซ้ำ ๆ และช้า ๆ หลาย ๆ ครั้ง เพื่อให้ผ่อนคลาย หรือใช้วิธีการนั่งสมาธิก็สามารถทำได้
       
       8. มีความวิตกกังวลมากเกินไป ข้อเสียของการมีความวิตกกังวล คือ ทำให้เรานอนไม่หลับในเวลากลางคืน และหากเราไม่สามารถนอนหลับในเวลากลางคืนได้จะส่งผลเสียเป็นอย่างมากต่อสมาธิในการทำงานในวันถัดไปวิธีการแก้ไขคือพยายามหาเวลานอนให้ครบ 7 - 9 ชั่วโมงในแต่ละวันหรืออาจจะใช้เวลาช่วงพัก หลับตาและพักสายตาบ้างจะทำให้สมองโลดแล่นและกลับมาทำงานได้อีกครั้ง
       
       9. ความหิว ความหิวนับว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราไม่สามารถจะทำงานหรือกิจกรรมต่าง ๆ ได้ด้วยดี ดังนั้นสิ่งที่ทำได้ คือขจัดตัวปัญหาออกไปคือให้เรารับประทานอาหารเช้าที่มีประโยชน์และอิ่มท้องในแต่ละวัน เพื่อให้สมองทำงานได้อย่างดีการรับประทานอาหารเช้าจะช่วยให้มีสมาธิและการทำงานมีประสิทธิภาพขึ้นตลอดทั้งวัน
       
       10. ตกอยู่ในภาวะความเศร้าใจอย่างลึกซึ้ง เพราะว่าความเศร้า เป็นตัวบั่นทอนความคิดสร้างสรรค์และกำลังใจในการทำงาน ดังนั้นหากเรามีความเศร้าหรือตกอยู่ในภาวะของการสูญเสียให้เราปรึกษาเพื่อนผู้ใกล้ชิดหรือ ไปหาผู้เชี่ยวชาญ เพื่อจะมาที่จะช่วยให้เรากลับมามีความสุขได้อีกครั้งหนึ่ง
       
       คนมีสมาธิดีนับว่ามีชัยไปกว่าครึ่งเพราะสามารถจะทำสิ่งต่าง ๆให้ประสบความสำเร็จในชีวิตได้ไม่ยาก ดังนั้นหากเรารู้ถึงตัวบั่นทอนใสการมีสมาธิ เราก็สามารถกำจัดสิ่งเหล่านั้นไปได้เพื่อที่เราสามารถจะยืนอยู่ในโลก และเต็มไปด้วยความสุขอีกครั้งหนึ่ง


ขอขอบคุณ 
ข้อมูลอ้างอิง
       webmd.com
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9580000129682





ตัวอย่าง  ผลของการทำลายสมาธิ




เรื่องของพุทธโลกที่พุทธไทยไม่ค่อยรู้ - เรื่อง ไตรเทพ ไกรงู

พุทธวัชรยานที่พุทธไทยไม่ค่อยรู้



พุทธวัชรยานที่พุทธไทยไม่ค่อยรู้

พุทธวัชรยาน(ตันตระ)กับ...เรื่องของพุทธโลกที่พุทธไทยไม่ค่อยรู้ : เรื่อง / ภาพ ไตรเทพ ไกรงู

                  การกระทำที่ถือว่าเป็นการลบหลู่พระพุทธศาสนาของบุคคลบางกลุ่มในช่วงปัจจุบัน มักปรากฏให้เห็นผ่านโลกอินเทอร์เน็ตบ่อยครั้ง สำหรับผู้ท่องโลกอินเทอร์เน็ต หากใส่คำว่า "yab yum" ลงในเว็บไซต์สำหรับค้นหาข้อมูลและรูปภาพ จะได้เห็น "พระพุทธรูปที่มีหญิงสาวนั่งคร่อมบนตัก อยู่ในอาการกำลังเสพสังวาส" อาจทำให้พุทธศาสนิกชนชาวไทย รู้สึกโกรธว่า "เป็นการหมิ่นพระพุทธศาสนาอย่างสุดที่จะทนทาน และสาปแช่งว่า ใครหนอที่ใจบาปหยาบช้า ดูหมิ่นพระพุทธศาสนาได้ถึงขนาดนี้" ทั้งนี้กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) คงต้องทำงานหนักกว่าที่เป็นอยู่หลายพันเท่า
   
               ภาพพระพุทธรูปที่มีหญิงสาวนั่งคร่อมบนตัก อยู่ในอาการกำลังเสพสังวาส นั้น อ.ราม วัชรประดิษฐ์ นักประวัติศาสตร์ด้านพุทธศิลป์ และสุดยอดแฟนพันธุ์แท้พระเครื่อง บอกว่า ในความรับรู้ของคนทั่วไปนั้น "ลัทธิตันตระ" หรือ "ตันตริก" เป็นนิกายหนึ่งของพุทธศาสนาแบบมหายานที่เผยแพร่อยู่ทั่วไปในทิเบต ภูฏาน และจีน ซึ่งจะมีการสร้างรูปเคารพในลักษณะแปลกประหลาดกว่าทางหินยานหรือเถรวาท เช่น มักผนวกเอาเรื่องราวของความศักดิ์สิทธิ์ อิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ ให้ปรากฏในการสร้างพระพุทธรูป พระโพธิสัตว์ พระนางตาราอันเป็นชายาของพระโพธิสัตว์ จนบางกลุ่มถูกเรียกว่า "นิกายมนตรยาน" ก็มี
   
               คำว่า "ตันตระ" (Tantra) หมายถึง ความรู้และการริเริ่ม ซึ่งจะให้ความสำคัญต่อการแสดงออกทางร่างกายในท่าทางต่างๆ ที่เรียกว่า "ปาง" เป็นสำคัญ ความเชื่อในตันตระนั้นเริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่ยุคพระเวทของอินเดียโบราณ นอกจากการที่พราหมณ์จะรจนา คัมภีร์ฤคเวท ยชุรเวท สามเวท แล้วยังเพิ่มส่วนที่เรียกอาถรรพเวทขึ้นมาอีก ซึ่ง "อาถรรพเวท" นี่เองเป็นจุดกำเนิดของแนวคิดแบบตันตระ
   
               เมื่อแนวคิดแบบตันตระก็จะเข้าไปปะปนอยู่กับลัทธินิกายต่างๆ ที่บูชาเทพเจ้า เช่น ไศวนิกาย ไวษณพนิกาย และศักตินิกาย โดยเฉพาะ "ศักตินิกาย" นั้นเป็นการเทิดทูนเทวสตรี เช่น พระแม่อุมา พระลักษมี พระสุรัสวดี เป็นใหญ่ ให้ความสำคัญต่ออิตถีเพศโดยการบูชา "โยนี" โดยเชื่อว่า เป็นสิ่งที่ให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตในจักรวาลควบคู่กับศิวลึงค์ ซึ่งพวกนับถือลัทธิศักตินั้น ได้นำเอาแนวคิดแบบตันตระเข้าไปปฏิบัติ โดยแบ่งเป็น พวกทักษิณาจาริณ คือ ผู้บูชาเทพและเทวีอย่างสุภาพ ส่วนอีกพวกหนึ่งเรียกว่า วามาจาริณ คือ พวกบูชาเทพและเทวีด้วยการประกอบพิธีลับ เช่น พิธีกาฬจักรบูชา เพื่อสรรเสริญศักติของพระแม่อุมาในปางพระแม่กาลี และพระแม่ทุรคา โดยการบูชายัญด้วยเลือดของมนุษย์และสัตว์
   
               นอกจากนี้ยังมีพิธีบูชาด้วยพรหมจรรย์ของหญิงสาวโดยเชื่อว่าเป็นการแสดงออกทางร่างกายให้ศักติโปรดปราน ซึ่งจะยึดหลัก ๕ ประการ ได้แก่ ๑.มัตยะ คือ การเสพรับเครื่องดองของเมา ๒.มังสะ คือ การบริโภคเนื้อสัตว์สดๆ ๓.มัสยา คือ การบริโภคเนื้อปลาสด ๔.มุทระ คือ การบริโภคข้าวโพด เมล็ดแป้งข้าวสาลีเพื่อเพิ่มพลังงานให้ร่างกาย และ ๕.เมถุน คือ การเสพกาม
   
               อ.ราม ยังบอกด้วยว่า เมื่อพุทธศาสนาเกิดข้อขัดแย้งแบ่งออกเป็น ๒ นิกาย ได้แก่ เถรวาทหรือหินยาน และอาจารยวาทหรือมหายาน แนวคิดแบบตันตระก็เข้าไปผสมผสานกับฝ่ายที่ปรับตัวอย่างเด่นชัดซึ่งก็คือพุทธแบบมหายาน ที่ให้ความสำคัญต่อเพศสตรี เช่น การนับถือเจ้าแม่กวนอิม การยกย่องพระนางปรัชญาปารมิตา การเคารพต่อพระชายาของพระโพธิสัตว์ต่างๆ ที่เรียกว่า "นางตารา" หรือ "นางโยคินี" ก่อให้เกิดการสร้างรูปเคารพสตรีจำนวนมากในนิกายพุทธแบบมหายาน
   
               พุทธศาสนามหายานแบบตันตระนั้น ได้แยกออกเป็นนิกายหลายนิกาย เช่น นิกายวัชรยาน หมายถึง ชื่อเรียกรูปเคารพเพศชาย นิกายมนตรยาน ซึ่งเน้นหนักในเรื่องเวทมนตร์ไสยศาสตร์ คาถาอาคม ฯลฯ  นอกจากนี้แล้วตันตระ ยังปรากฏเป็นนิกายย่อยๆ อีกมากมาย เช่น นิกายสหจยาน ซึ่งไม่เชื่อในการถวายสิ่งของให้เทพ หรือพระโพธิสัตว์ เชื่อมั่นในการบูชาด้วยร่างกาย อีกลัทธิหนึ่งคือ นิกายกาฬจักรายาน ซึ่งนับถือ ธรรมชาติ ดวงดาว โดยมีคัมภีร์ที่เน้นหนักไปทางด้านดาราศาสตร์ และโหราศาสตร์โดยเฉพาะ เป็นต้น
   
               เพื่อป้องการความไม่รู้และเข้าใจผิด อ.ราม แนะนำว่า  "ความจริงแล้ววิธีการที่ถูกต้องควรจะรับทราบข้อมูลอันเกิดจากการรับรู้แบบใหม่จากทุกมุมโลก แล้วใช้วิธีคัดแยก เพื่อนำไปสู่กระบวนการวิเคราะห์อย่างเป็นเหตุเป็นผล ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อกระบวนการเปิดความคิดและความรู้เพื่อนำไปสู่งานทางด้านวิชาการและการปรับตัวของสังคมเพื่อให้ทันต่อกระแสโลก ซึ่งจะเป็นการก้าวไปสู่อนาคตของการปรับตัวในโลกสมัยใหม่อย่างเต็มรูปแบบ"


เรื่องของพุทธโลกที่พุทธไทยไม่รู้

               ภาพองค์ดาไลลามะ ผู้นำทางด้านจิตวิญญาณสูงสุดของชาวทิเบต ยกมือไหว้ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช เมื่อหลายปีที่แล้วมีการวิพากษ์วิจารณ์พุทธศาสนิกชนชาวไทยว่า ท่านเป็นพระไม่ควรไปยกมือไหว้ฆราวาส แต่ในมุมมองของชาวพุทธมหายาน กลับไม่รู้สึกอะไร ด้วยเหตุผลที่ว่า "การไหว้เป็นวัฒนธรรมการทักทายแบบพุทธ"
   
               นพ.ดร.มโน เมตตานันโท เลาหวณิช อดีตที่ปรึกษาพิเศษในกิจกรรมพระพุทธศาสนา ในเลขาธิการใหญ่ องค์การสมัชชาศาสนาเพื่อสันติแห่งโลก (WCPR) และอาจารย์ประจำ มหาธรรมศาสตร์(วิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์) บอกว่า เป็นเรื่องปกติที่พุทธศาสนิกชนทุกนิกายและทุกประเทศคิดว่าการปฏิบัติตามแนวทางการตนนั้นถูกต้องและเคร่งครัดที่สุด ทั้งนี้ต้องยอมรับว่าพุทธศาสนาในประเทศญี่ปุ่น และพระเกาหลี บางส่วน ถือว่ามีการเปลี่ยนแปลงมาก เช่น พระมีเมียได้ กินเหล้าได้และเรียกสาเกว่า น้ำแห่งปัญญา พระเป็นอาชีพอย่างหนึ่ง (ตอนกลางวันใส่ชุดพระอยู่วัด ตอนเย็นไปอยู่กับลูกเมียที่บ้าน) วัดเป็นที่ทำงาน มีการแต่งงานระหว่างลูกของพระในนิกายเดียวกันโดยไม่ยอมรับนิกายอื่น
   
               ส่วนพุทธศาสนาในศรีลังกาวัดเป็นของเอกชน พระสามารถตั้งพรรคการเมือง ลงสมัครรับเลือกตั้ง รับราชการ รวมทั้งดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ ส่วนการฉันข้าว ๓ มื้อ เช่น เวียดนาม จีน ทิเบต โดยเรียกมื้อเย็น ซึ่งเป็นมื้อที่ ๓ ว่า "เภสัช" แปลวว่า "มื้อยา" ส่วนการไหว้ที่แตกต่างนั้นต้องยกให้ พุทธนิกายมหายาน ในจีน พระจะไหว้ฆราวาสก่อนเสมอเมื่อพบกัน เพราะถือการไหว้เป็นการลดทิฐิมานะอย่างหนึ่ง
   
               ทั้งนี้ นพ.ดร.มโนพูดทิ้งท้ายไว้อย่างน่าคิดว่า  "พระพุทธศาสนาหลังพุทธปรินิพพานแล้ว ได้มีการเปลี่ยนแปลงมาตลอด พระธรรมจักรของพระองค์นั้นมิได้หยุดนิ่งเลยมา ๒,๖๐๐ ปีมาแล้ว และปัจจุบันก็ยังหมุนอยู่ รูปแบบของศาสนานั้นมีการเปลี่ยนแปลงมาตลอด เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย คือ แรงศรัทธาของประชาชน การรู้จักศาสนาโดยเฉพาะความเชื่อของเราแต่เพียงอย่างเดียวนั้น อันตรายเสมอ ในขณะที่เราเชื่อว่าศาสนาของเราถูกต้องบริสุทธิ์ ชาวพุทธวัชรยาน เขาก็เชื่อเช่นเดียวกัน ใครเล่าจะเป็นผู้ตัดสินได้ว่าใครถูกใครผิด"

พระพุทธศาสนาในโลกกว้างที่ควรรู้ 


ขอขอบคุณ
http://www.komchadluek.net/