วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ประวัติ ครูหมอชีวกโกมารภัจจ์




          ชีวก ชื่อหมอใหญ่ ผู้เชี่ยวชาญในการรักษา และมีชื่อเสียงมาก ในครั้งพุทธกาล เป็นแพทย์ประจำพระองค์ของพระเจ้าพิมพิสาร และพระเจ้าพิมพิสาร ได้ถวายให้เป็นแพทย์ประจำพระองค์ ของพระพุทธเจ้าด้วย

เรียกชื่อเต็มว่า ชีวกโกมารภัจจ์ หมอชีวกเกิดที่เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ เป็นบุตรของนางคณิกา (หญิง งามเมือง) ชื่อว่าสาลวดี แต่ไม่รู้จัก มารดาบิดาของตน เพราะเมื่อนางสาลวดีมีครรภ์ เกรงค่าตัวจะตกจึงเก็บตัวอยู่ ครั้นคลอดแล้วก็ให้คนรับใช้เอาทารก ไปทิ้งที่กองขยะ แต่พอดีเมื่อถึงเวลาเช้าตรู่ เจ้าชายอภัย โอรสองค์หนึ่งของพระเจ้าพิมพิสาร จะไปเข้าเฝ้า เสด็จผ่านไป เห็นการุมล้อมทารกอยู่ เมื่อทรงทราบว่าเป็นทารกและยังมีชีวิต อยู่ จึงได้โปรดให้นำไปให้นางนมเลี้ยงไว้ในวัง ใน ขณะที่ทรงทราบว่าเป็นทารก เจ้าชายอภัยได้ตรัสถามว่าเด็กยังมีชีวิตอยู่ (ยังเป็นอยู่) หรือไม่ และทรงได้รับคำตอบ ว่ายังมีชีวิตอยู่ (ชีวติ = ยังเป็นอยู่ หรือยังมีชีวิตอยู่) ทารกนั้นจึงได้ชื่อว่า ชีวก (ผู้ยังเป็น) และเพราะเหตุที่เป็นผู้อันเจ้าชายเลี้ยง จึงได้มีสร้อยนามว่า โกมารภัจจ์ (ผู้อันพระราชกุมารเลี้ยง)

ครั้นชีวกเจริญวัยขึ้น พอจะทราบว่าตนเป็นเด็กกำพร้า ก็คิดแสวงหาศิลปวิทยาไว้เลี้ยงตัว จึงได้เดินทางไป ศึกษาวิชาแพทย์กับอาจารย์แพทย์ทิศาปาโมกข์ ที่เมืองตักสิลา ศึกษาอยู่ ๗ ปี อยากทราบว่าเมื่อใดจะเรียนจบ อาจารย์ให้ ถือเสียมไปตรวจดูทั่วบริเวณ ๑ โยชน์รอบเมืองตักสิลา เพื่อหาสิ่งที่ไม่ใช่ตัวยา ชีวกหาไม่พบ กลับมาบอกอาจารย์ ๆ ว่า สำเร็จการศึกษามีวิชาพอเลี้ยงชีพแล้ว และมอบเสบียงเดินทางให้เล็กน้อย ชีวกเดินทางกลับยังพระนครราชคฤห์เมื่อ เสบียงหมดในระหว่างทาง ได้แวะหาเสบียงที่เมือง สาเกต โดยไปอาสารักษาภรรยาเศรษฐีเมืองนั้นซึ่งเป็นโรคปวด ศีรษะมา ๗ ปี ไม่มีใครรักษาหาย ภรรยาเศรษฐีหายโรคแล้ว ให้รางวัลมากมาย หมอชีวกได้เงินมา ๑๖,๐๐๐ กษาปณ์ พร้อมด้วยทาสทาสีและรถม้าเดินทางกลับถึงพระนครราชคฤห์ นำเงินและของรางวัลทั้งหมดไปถวายเจ้าชายอภัยเป็น ค่าปฏิการะคุณที่ได้ทรงเลี้ยงตนมา เจ้าชายอภัยโปรดให้หมอชีวกเก็บรางวัลนั้นไว้เป็นของตนเอง ไม่ทรงรับเอา และ โปรดให้หมอชีวกสร้างบ้านอยู่ในวังของพระองค์ ต่อมาไม่นานเจ้าชายอภัยนำหมอชีวกไปรักษาโรคริดสีดวงงอกแด่ พระเจ้าพิมพิสาร จอมชนแห่งมคธทรงหายประชวรแล้ว จะพระราชทานเครื่องประดับของสตรีชาววัง ๕๐๐ นางให้ เป็นรางวัล หมอชีวกไม่รับ ขอให้ทรงถือว่าเป็นหน้าที่ของตนเท่านั้น พระเจ้าพิมพิสารจึงโปรดให้หมอชีวกเป็นแพทย์ ประจำพระองค์ ประจำฝ่ายในทั้งหมด และประจำพระภิกษุสงฆ์อันมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข หมอชีวกได้รักษาโรค ร้ายสำคัญหลายครั้ง เช่น

ผ่าตัดรักษาโรคในสมองของเศรษฐีเมืองราชคฤห์ ผ่าตัดเนื้องอกในลำไส้ของบุตรเศรษฐี เมืองพาราณสี รักษาโรคผอมเหลืองแด่พระเจ้าจัณฑปัชโชตแห่งกรุงอุชเชนี และถวายการรักษาแด่พระพุทธเจ้าใน คราวที่พระบาทห้อพระโลหิต เนื่องจากเศษหินจากก้อนศิลาที่พระเทวทัตกลิ้งลงมาจากภูเขา เพื่อหมายปลงพระชนม์ชีพ หมอชีวกได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน และด้วยศรัทธาในพระพุทธเจ้า ปรารถนาจะไปเฝ้าวันละ ๒-๓ ครั้ง เห็นว่าพระเวฬุวันไกลเกินไปจึงสร้าง วัดถวายในอัมพวันคือสวนมะม่วงของตนเรียกกันว่า ชีวกัมพวัน (อัมพวัน ของหมอชีวก) เมื่อพระเจ้าอชาตศัตรูเริ่มน้อมพระทัยมาทางศาสนา หมอชีวกก็เป็นผู้แนะนำให้เสด็จไปเฝ้าพระพุทธเจ้า

ด้วยเหตุที่ หมอชีวกเป็นแพทย์ประจำคณะสงฆ์ และเป็นผู้มีศรัทธาเอาใจใส่เกื้อกูลพระสงฆ์ มาก จึงเป็นเหตุให้ มีคนมาบวชเพื่ออาศัยวัดเป็นที่รักษา ตัวจำนวนมาก จนหมอชีวกต้องทูลเสนอพระพุทธเจ้าให้ทรงบัญญัติข้อ ห้ามมิ ให้รับบวชคนเจ็บป่วย ด้วยโรคบางชนิด นอกจากนั้นหมอชีวกได้กราบทูลเสนอให้ทรงอนุญาตที่จงกรมและเรือนไฟ เพื่อเป็นที่บริหารกายช่วยรักษาสุขภาพของภิกษุทั้งหลาย หมอ ชีวกได้รับพระดำรัสยกย่องเป็นเอตทัคคะในบรรดา อุบาสกผู้เลื่อมใสในบุคคล

ข้อมูลจาก http://www.krmassageschool.com/know1.html

อ่านเพิ่มเติม ประวัติ  ครูหมอชีวกโกมารภัจจ์ 

วันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

จับฉ่าย NEWS





โชคเข้าข้างอดีตลูกจ้าง Google ขายโดเมนเนม google.com ได้เงิน 12,000 ดอลลาร์


เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อ Sanmay Ved พบความผิดพลาดของระบบซื้อขายโดเมนเนม ในเดือนกันยายนปีที่แล้ว เมื่อชื่อ google.com ปรากฏให้เห็นว่ายังไม่มีใครเป็นเจ้าของ เขานึกสงสัยจึงลองลงทะเบียนเป็นเจ้าของโดเมนเนมดังกล่าว
เขาจ่ายเงินไป 12 ดอลลาร์ในการลงทะเบียน โดยเจ้าตัวซึ่งเคยทำงานอยู่ Google กว่าห้าปี บอกว่าไม่คิดว่าจะโชคดีกับผลของการทดสอบตามความขี้สงสัยของตน 
แต่หลังจากที่ Google ทราบว่ามีผู้เข้าซื้อโดเมนชื่อบริษัท ซึ่งคนทั่วโลกใช้อยู่เป็นประจำ และเกิดความขัดข้องที่หน้าเว็บ Google จึงขอซื้อชื่อ google.com คืนด้วยราคา 12,000 ดอลลาร์ 
ราคานี้ทำให้ Sanmay Ved ฟันกำไรหนึ่งพันเท่าในเวลาเพียงชั่วพริบตา และเงินก้อนนี้น่าจะช่วยเขาไม่มากก็น้อย เพราะตอนนี้เขาเป็นนักเรียนปริญญาโทบริหารธุรกิจอยู่ที่ Babson College ใกล้นครบอสตั้น




วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

หุ้น "ถูก/แพง/ขึ้น/ลง" ดูอย่างไร







คำทั้งสี่คำนี้ ทำให้คนเล่นหุ้นขาดทุนตลอด เพราะไม่เข้าใจวิธีการใช้ ...เราจะยกตัวอย่างจากหุ้นจริงให้ดู

ตัวอย่างสำหรับคนไม่เข้าใจ
ลองมาดู PTT ...
"ราคาถูก" อันนี้ ต้องไปเทียบกับพื้นฐาน ...คนที่ยังวิเคราะห์ Fundamental ไม่เป็น อาจไปขอ Target Price ของราคาพื้นฐานของหุ้นแต่ละตัวที่ Broker ก็ได้ ...แต่ต้องเข้าใจว่า "ราคา" กับ "พื้นฐาน" ไม่จำเป็นต้องวิ่งไปในทางเดียวกันตลอดเวลา มันจึงเป็น โอกาสให้นักลงทุนสามารถทำกำไรได้นั่นเอง

การที่บอกว่า ราคาถูก คือ "ราคา" ในเวลานั้นต่ำกว่า "พื้นฐานจริงๆของกิจการ" ... แต่โดยส่วนใหญ่ เมื่อราคาถูก มันถูกเพราะคนส่วนใหญ่ขาย ...นั่นแปลว่า Demand & Supply ...จะส่งผลให้ราคาหุ้น เป็น Trend ขาลง ...ดังนั้น หุ้นถูก ก็คือ หุ้นที่อยู่ในขาลง -- ดังนั้น การซื้อหุ้นถูก ก็คือ "ซื้อแล้วหุ้นไม่ควรจะลงต่อ" อย่างหุ้นถูก ก็คือ ราคาต่ำกว่า 300 บาท ...แต่ถ้าซื้อในจุดที่ต่ำกว่า 300 บาท โอกาสที่ซื้อแล้วลงต่อ มีสูง ... ดังนั้น คนที่ต้องการซื้อหุ้นถูก ก็ต้องทำใจแล้วว่า การซื้อในเวลานั้น หุ้นอาจลงต่อ
แต่เราต้องมองหาราคาที่หุ้นไม่เคยลงเกินกว่านี้ มือใหม่ให้เริ่มจากราคาไม่เกิน 10 บาท จะเห็นว่า ราคาขึ้นลงไม่เกิน 3 บาท ไม่อยากให้ทุกคนสนใจที่ราคาของหุ้น แต่ควรจะ  focus ไปที่ความสามารถในการหาเงินของหุ้นตัวนั้น ตัวที่เราสนใจ ตามช่วงระยะเวลาที่เราต้องการ เช่น 1 เดือน  1 ปี ว่าหุ้นที่เราซื้อ ลงต่ำสุด กี่บาท  ขึ้นสูงสุดกี่ เปอร์เซ็น  กำไรจากการซื้อหุ้นจะอยู่ตรงช่วงนี้

สรุปคือ "คนที่ซื้อหุ้นถูก คือต้องซื้อในช่วงขาลง ราคาจะต้องไม่ลงต่ำกว่าทีคำนวนไว้  การซื้อหุ้นตอนถูก ก็ย่อมมีหุ้นราคาแพงในอนาคต คนเล่นระยะยาวก็ได้กำไรจากตรงนั้น (ถ้าทำใจเห็นราคาหุ้นที่ตัวเองซื้อลงต่อไม่ได้ ห้ามสนใจเวลาหุ้นที่เราซื้อลงให้คิดว่าราคาขณะนั้นถูกแล้วราคาที่เราซื้อเหมาะสมเพราะตอนที่เราซื้อเรารู้ว่ามันถูกรอจังหวัะที่มันลง30%แล้วซื้อนั้นแหละหุ้นถูก ต้องมองดูให้รู้ว่าปกติมันวิ่งขึ้นไปเท่าไรแล้ววิ่งลงมาสุดเลยแค่ให ..แก้ไขโดยหยุดซื้อหุ้นถูก แล้วไปเลือกใช้วิธีการลงทุนแบบซื้อหุ้นแพง แล้วไปขายแพงกว่าแทน ซึ่งวิธีการนั้นเราเรียกว่า Technical Analysis "คือ ซื้อแพง ไปขาย แพงกว่า")

.....ลองหลับตา แล้วคิดดีๆ ว่า คุณกำลัง งง ใช่หรือไม่ ..."ไม่แปลก เพราะคนส่วนใหญ่ ไม่เข้าใจเลย ..ผลก็คือ ซื้อแล้ว งง ขายก็ งง สรุปขาดทุนตลอดเวลา เพราะไม่รู้ว่า กำลังทำอะไรอยู่"

ในทางตรงกันข้าม ..

"ราคาแพง" ...ราคาแพง ก็คือ หุ้นแพงกว่าพื้นฐาน ..อย่างตัวอย่างคือ หุ้นแพง คือ ราคาเกิน 380 บาท ... แต่ถ้าราคาวิ่งขึ้นเลย 380 บาทจริง ...หุ้นจะเข้า Trend ขาขึ้นอย่างเต็มที่ (ราคา Break เส้นแดง New High) ...นั่นแปลว่า ซื้อแพง แต่ซื้อแล้ว ราคามันจะวิ่งไปต่อ

--- ที่ผมพูดมา มันอาจฟังดู ไม่เข้าท่า ..แต่ลอง เอาสิ่งที่ผมพูดไปทำความเข้าใจ ...แล้วคุณจะเริ่มเข้าใจมากขึ้นว่า 4 คำนี้ "ถูก/แพง/ขึ้น/ลง" ...เป็นสิ่งที่นักลงทุนกว่า 80% ในตลาด ไม่เข้าใจเลย และมั่วมาก .....

คนที่จะซื้อหุ้นลงทุนระยะยาว ต้องซื้อ "หุ้นถูก" (ไม่จำเป็นต้องถูกที่สุด เพราะไม่มีใครสามารถซื้อหุ้นได้ถูกที่สุด)

คนที่ต้องการลงทุนระยะสั้น ต้องซื้อ "หุ้นแพง" แล้วไปขายแพงกว่า ...เพราะ หุ้นแพง มักอยู่ใน Up Trend คือ ซื้อแล้วขึ้นเลย ... แต่คิดดีๆนะ การซื้อหุ้นแพง คือ เราซื้อตอนมันแพง ดังนั้น เราไม่มี Room ให้ขาดทุน ..เพราะถ้าคุณผิดทาง คุณจะเสียหายหนัก ดังนั้น คนที่จะเล่นวิธีนี้ ต้องศึกษา Technical และมีวินัย มีจุด Cut Loss ที่ชัดเจน ...เพราะความเสี่ยงมันมากกว่า

--- ทำความเข้าใจดีๆครับ "ต้องเลือกให้ถูกว่า เราจะลงทุนแบบไหน แล้วใช้วิธีนั้น" แล้วการลงทุนของคุณจะดีขึ้น!!

The Big Short เกมฉวยโอกาสรวย สุดยอดภาพยนตร์แห่ง ปี 2016



   

                         The Big Short เกมฉวยโอกาสรวย
                  ใครหาเรื่องเต็มให้หน่อย .....แบ่งกันบ้าง


http://hdmovie14.net/watch/the-big-short-2015



ก่อนอื่นเลยต้องแนะนำว่า สำหรับคนที่ต้องการดูหนังเพื่อผ่อนคลาย ไม่เหมาะกับภาพยนตร์เรื่องนี้ …คนที่ต้องการดูหนังแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก ไม่เหมาะกับภาพยนตร์เรื่องนี้ …คนที่อยากดูหนังรัก ไม่เหมาะกับภาพยนตร์เรื่องนี้

การดูภาพยนตร์เรื่องนี้ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ซีเรียสอะไร แต่คุณต้องใช้สมาธิจดจ่ออยู่กับหนังตลอดเวลา ห้ามวอกแวกเด็ดขาด และต้องคิดตามอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้เข้าใจได้เต็มที่ และได้อรรถรสจากหนังมากยิ่งขึ้น


ภาพยนตร์เรื่องนี้มีพลอตที่เด็ดดวงมาก ส่วนบทนี้ยิ่งเด็ด มีวิธีการเล่าเรื่องที่ค่อนข้างจะแปลก และกวนอยู่ไม่น้อยเลย

และก่อนเข้าไปดูนี้ทำใจเอาไว้แล้วว่าอาจจะไม่เข้าใจหนังเต็มที่ เพราะสกิลทางด้านการเงิน-การลงทุนนี้ต่ำเตี้ยเรี่ยดินชนิดลิมิตเข้าใกล้ศูนย์ …แต่คิดผิดอย่างแรง หนังเรื่องนี้มีแนวคิดการแลคเชอร์เนื้อหายากๆได้เจ๋งมากจริงๆ และนั้นทำให้ถ้าคุณมีสมาธิพอ และคิดตามมัน คุณจะเข้าใจได้อย่างง่ายดายมาก …ดังนั้นเรื่องที่ไม่มีความรู้ด้านการเงิน ไม่ต้องกังวล


เรื่องนักแสดง

1 Dr. Michael Burry (Christian Bale) เป็นผู้จัดการกองทุนที่มีวงเงินมหาศาล คิดอะไรอย่างมีตรรกะ (logic) ทุกอย่างที่ทำผ่านการคำนวณมาอย่างแม่นยำแล้ว และเข้าสังคมไม่ได้เลย มนุษยสัมพันธ์แย่มาก ความบันเทิงอย่างเดียวของชีวิตคือเพลงร็อค

2 Mark Baum (Steve Carell) เป็นผู้จัดการกองทุน ซึ่งเป็นบริษัทขนาดเล็กกว่าของไมเคิลนะครับ เป็นคนที่อยากทำอะไรก็ทำ อยากพูดอะไรก็พูด ไม่ชอบเก็บอะไรเอาไว้ในใจ ยกเว้นเรื่องเดียวคือปมภายในใจ สำหรับการลงทุน มาร์คต้องสืบจนแน่ชัดแล้วว่ามันจริง ถึงจะทุ่มหมดหน้าตัก เป็นคนที่มีศีลธรรมสูงมาก

3 Jared Vennett (Ryan Gosling) เป็นเทรดเดอร์ ซึ่งชื่นชอบการเสี่ยงดวงและไม่ยอมให้โอกาสทองหลุดมือไป

4 Ben Rickert (Brad Pitt) เป็นนายธนาคารที่เกษียณตัว เป็นผู้ที่ใช้อาชีพสร้างความร่ำรวย และพอใจกับที่มีแล้ว มีความสงบตามวัย และสิ่งที่ทำให้เค้ากลับเข้ามาในวงการการเงินอีกครั้งคือการเห็นแก่ความสัมพันธ์กับ  Charlie Geller (John Magaro) และ Jamie Shipley (Finn Wittrock) นักลงทุนมือใหม่ฝืมือฉกาจ

พูดเลยว่าทุกคนแสดงได้ดีมากๆ และอินมากครับ ช่วงเวลา 130 นาทีมันสั้นจริงๆ สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้


.และภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ 3 สาขา ได้แก่
  • ภาพยนตร์สาขาภาพยตร์ตลก/เพลงยอดเยี่ยม
  • ดารานำชายสาขาภาพยตร์ตลก/เพลงยอดเยี่ยม (คริสเตียน เบล และ สตีฟ คาเรลล์ ได้รับการเสนอชื่อทั้งคู่)
  • บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม

ขอบคุณข้อมูลจาก
http://wonnee.com/movie/review-the-big-short-%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B9%82%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A2/