วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2559

ธรรมชาติ บำบัด ความเครียด แก้ปวดหัว



โรคเครียด อาการ สาเหตุ วิธีการรักษา โรคเครียด



โรคเครียด เป็นโรคที่เราไม่พึ่งประสงค์มากที่สุด นอกจากจะทำให้สภาพจิตใจของเราย่ำแย่แล้ว ยังทำให้สุขภาพกายของเราย่ำแย่เพิ่มมากขึ้นไปอีก ซึ่งโรคเครียดนั้นมักจะนำพาโรคอื่นๆ ตามมาด้วย ไม่ว่าจะเป็นอาการนอนไม่หลับและอาจไปสู่ภาวะซึมเศร้า เครียดมากๆ กลายเป็นโรคประสาทไปเลยก็มี
               การปวดหัวเพราะความเครียด จะทำให้กล้ามเนื้อของเราเกร็งไปแทบทุกส่วน เราจะต้องทำให้ร่างกายทุกส่วนของเราผ่อนคลายที่สุด  เพื่อผ่อนคลายความตึงเครียด เป็นการลดภาระการทำงานของร่างกาย นอกจากนี้การปวดหัวเนื่องจากความเครียด ยังทำให้ร่ายประสบปัญหา ฮอร์โมนไทรอยด์เกิน คือ ภาวะที่ฮอร์โมนหลั่งออกมามากเกินความจำเป็น ทำให้ร่างกายเกิดการเผาผลาญมากขึ้น เสมือนร่างกายทำงานหนักอยู่ตลอดเวลา  ทำให้น้ำหนักตัวลดลง แม้จะรับประทานอาหารมากขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้เกิดอาการใจสั่น ชีพจรเต้นเร็ว มือสั่น หงุดหงิดง่าย  ตาโปน ผมร่วง ขี้ร้อน เหงื่อออกมาก ถ่ายอุจจาระบ่อยขึ้น หรือบางครั้งอาจเกิดภาวะขาดประจำเดือน บางรายอาจสังเกตเห็นต่อมไทรอยด์ที่อยู่บริเวณลำคอ  ด้านหน้ามีขนาดโตขึ้น มีอาการขาสองข้างอ่อนแรง จนถึงขั้นยกขาหรือยืนไม่ได้
สาเหตุของความเครียดมีที่มาแตกต่างกัน  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องครอบครัว เรื่องคนรัก หรือว่าปัญหาจิปาถะ ที่เกิดขึ้นระหว่างวัน ทำให้จิตใจของเราตึงเครียด ส่งผลให้ร่างกายมีสภาวะเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์และจิตใจและในบางครั้ง เมื่อเราเครียดเราก็อาจจะไม่รู้ตัว แต่อาจจะมีอาการของคนที่นอนไม่หลับแทนก็เป็นได้ บางคนคิดว่าการที่เราเครียดก็คือเวลาที่เรามีปัญหาหนักๆ แต่ความเป็นจริงแล้วเรื่องเล็กๆ ก็ทำให้เราเครียดได้ แม้ในปริมาณไม่มาก แต่ถ้ามีการสะสมมากขึ้นก็เป็นผลเสียต่อร่างกายและจิตใจของเราได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น การอ่านหนังสือสอบไม่ทัน รถติด ตื่นสาย หาของไม่เจอ ติดต่อเพื่อนหรือญาติสนิทไม่ได้ มาไม่ทันรถเมล์ เถียงกับแม่ค้า เป็นต้น ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำให้เราหงุดหงิดใจ และเป็นความเครียดต่างๆ ที่เราสะสมเอาไว้ ซึ่งหากว่ามากขึ้นไป ก็จะทำให้เราเสียสุขภาพจิตได้
ตัวอย่างของภาวะร่างกายและจิตใจที่บ่งบอกว่าเราเครียดมาก จนถึงขั้นอันตรายได้แก่ อาการปวดตึงของกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นแขน ขา คอ ไหล่ หลัง เมื่อเราเครียด กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของร่างกายจะตึงเครียดขึ้นมาโดยที่เราไม่รู้ตัว จะมีปัญหาเรื่องความดันโลหิตที่สูงขึ้น ปวดหัว ปวดท้อง   นอนไม่หลับ หัวใจเต้นแรง หอบ และ อ่อนเพลีย เป็นลมง่าย อาการเหล่านี้จะส่งผลต่อสภาพจิตใจ ทำให้เราหงุดหงิดง่าย วิตกกังวล ซึมเศร้า มีผลทำให้ร่างกายของเราอ่อนแอ และเจ็บป่วยได้ง่าย 
“ไมเกรน”

ถือว่าเป็นโรคยอดฮิต ของคนในยุคปัจจุบัน เมื่อมีอาการกำเริบจะทำให้หลอดเลือดภายในกะโหลกศีรษะหดตัว ในขณะที่หลอดเลือดภายนอกกะโหลดศีรษะ เช่น ที่ขมับพองตัว ส่งผลทำให้มีอาการปวดหัวตรงกลาง ตรงขมับ มึนงง เวียนศีรษะ หรือปวดหัวข้างใดข้างหนึ่ง ระยะเวลาปวดตั้งแต่ 4 – 72 ชั่วโมง ซึ่งไมเกรนเกิดจากสิ่งกระตุ้นต่างๆ
สิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการเครียดได้ มีดังต่อไปนี้

ทางตา : แสงแดด แสงจ้า แสงระยิบระยับ การใช้สายตาเคร่งเครียด หรือลายตา
ทางหู : เสียงดัง เสียงจอแจ
ทางจมูก : กลิ่นต่างๆ อาจเป็นกลิ่นน้ำหอม ควันบุหรี่ เป็นต้น
ทางลิ้น : อาหาร เช่น  อาหารทะเล ช็อกโกแลต ผงชูรส เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กาแฟ  ยาคุมกำเนิด ยานอนหลับ
 ทางกายภาพ : อากาศที่เย็นจัด ร้อนจัด อบอ้าว อดนอน นอนมาก ร่ายกายเหนื่อยล้า อาการเจ็บปวดต่างๆ เช่น ปวดฟัน ปวดประจำเดือน เป็นต้น
ทางใจ : ความเครียด กังวล ซึมเศร้า
วิธีบำบัดที่สามารถช่วยบรรเทาอาการเครียด

การบำบัดโรคเครียดนั้นมีหลายวิธี
             วิธีแรกเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ คือ การจัดการกับปัญหาทั้งหลายทั้งปวงให้เรียบร้อย การแก้ปัญหานั้น  มีอยู่ 3 วิธี ก็คือ การสู้ การหนี และการปล่อยให้มันเป็นไป การจะเลือกใช้วิธีไหนนั้นเราก็ต้องดูความเหมาะสม เพราะบางครั้งการวิ่งเข้าชนปัญหาก็ดูเหมือนว่าจะทำให้ความเครียดของเรายุติลงไปง่ายกว่าวิธีอื่นๆ
               นอกจากการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุแล้ว ควรจะหาเวลาผ่อนคลายร่างกายและจิตใจ ให้กลับมาสู่ภาวะปกติ โดยออกไปเดินเล่นชมสวน หรือ ทำงานอดิเรกที่เราชอบ ออกกำลังกาย ฟังเพลงพื่อคลายเครียด เต้นรำ ตามใจตัวเองบ้างตามสมควร โดยที่ไม่ทำให้ตัวเองและผู้อื่นเดือดร้อน รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยรับประทานอาหารจำพวกผักผลไม้เยอะๆ และ งดอาหารที่ทำให้ร่างกายเสียสมดุล หรือตกอยู่ในความเครียดมากขึ้น เช่น บุหรี่ เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ทุกชนิด กาแฟ ชา ยากล่อมประสาท ยานอนหลับ   นอกจากนั้น การทำสมาธิ รำไทเก็ก และการเล่นโยคะ ช่วยทำให้ความเครียดของเราลดลง เป็นการออกกำลังกาย ที่ช่วยทำให้จิตใจของเราสงบ การใช้ วารีบำบัดจะช่วยสร้างสมดุลของร่างกายโดยอาศัยความร้อนความเย็นของน้ำที่มากระทบผิวกาย หากต้องการความสดชื่นจากอาบน้ำ ให้อาบน้ำเย็นแทนการอาบน้าอุ่น การอาบน้ำอ่นหรือแช่น้ำอุ่นนานๆ จะมีผลทำให้เลือดคั่ง ประสาทอ่อนล้า กระวนกระวาย และ ง่วงเหงาซึม แต่อาบน้ำเย็นจะมีผลสืบเนื่องทำให้ร่างกายอบอุ่น สดชื่น และสบายตัว การอาบน้ำร้อนควรทำกรณีเดียวคือ เมื่ออาบน้ำแล้วเข้านอน ผลของความร้อนจะทำให้นอนหลับ  น้ำอุ่นที่สัมผัสกับร่างกายจะทำให้เส้นเลือดยายตัวและหมุนเวียนได้ดี แต่ก็เพิ่มภาระในการทำงานให้กัับร่างกายของเรา                
                วิธีการบำบัดอาการปวดศีรษะ ด้วยธรรมชาติ หรือ  โสตตะบำบัด  หนึ่งทางเลือกของการบำบัดร่างกายและจิตใจไปพร้อมกัน เป็นการพักผ่อนหย่อนใจ ใช้วิธีดึงความรู้สึกผ่อนคลายมาสู่ผู้รับบริการ ผ่านโสตประสาทสัมผัสทั้ง 5  ด้วยการสร้างบรรยากาศที่ใกล้เคียงกับธรรมชาติ เพื่อผ่อนคลายระบบประสาททั้ง 5  ลดความตึงเครียดในการทำงาน ทำให้ผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ 
ประกอบด้วย
1.รูป การสร้างบรรยากาศให้ผ่อนคลาย เพิ่มความสดใสสดชื่น ด้วยสีเขียวจากต้นไม้นานาชนิด แต่งแต้มด้วยสีสันหลากสีของดอกไม้ เสมือนภาพธรรมชาติที่มีชีวิต
2.รส  การดื่มน้ำต้ม ที่มีสรรพคุณทำให้ร่างกายผ่านคลายลดภาระการทำงาน
3.กลิ่น การใช้กลิ่นหอมบำบัด (aromatherapy)
4.เสียง การได้ฟังดนตรีเบาสบายแนว spiritual music หรือเสียงแบบธรรมชาติ เช่น เสียงนกร้อง เสียงน้ำไหล เสียงคลื่น
5.สัมผัส การได้รับสัมผัสที่อ่อนโยนทะนุถนอม เพื่อบำบัดร่างกายและจิตใจให้เข้าสู่ภวังค์ นำสู่การผ่อนคลายอย่างลึกล้ำ
อาหาร : คนที่ป่วยเป็นไมเกรนจะมีระบบย่อยและดูดซึมแมกนีเซียมไม่ดีเท่าที่ควร ดังนั้นจึงควรกินอาหารที่อุดมด้วยแมกนีเซียมเพื่อช่วยบรรเทาอาการไมเกรน
น้ำมันหอมระเหย : ช่วยทำให้ระบบประสาทต่างๆ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปรับสมดุลของอารมณ์ และจิตใจให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งวิธีการบำบัดสามารถทำได้ทั้งนวด และประคบ
การนวด ผู้ป่วยที่เป็นไมเกรนควรมีน้ำมันหอมระเหยเปเปอร์มินต์ที่ช่วยทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า และลาเวนเดอร์ซึ่งช่วยให้คลายกังวล ลดความความเครียด และอาการซึมเศร้า ติดบ้านไว้เสมอ เมื่อมีอาการให้เทน้ำมันหอมระเหยทั้ง 2 ชนิด อย่างละ 1 หยด ผสมกับน้ำมันอัลมอนด์หอม 2 ช้อนชา นำมานวดที่บริเวณขมับและต้นคอเบาๆ
การประคบ   ประคบร้อนและเย็น ผ้าชุบน้ำประคบบริเวณขมับและหน้าผากทุกวัน 
ที่มา  Healthlink



ไม่มีความคิดเห็น: