วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2559

ท่าฝึก 10 นาที เปลี่ยนรูปร่างคุณไปตลอดกาล


ท่าฝึกชุดนี้ ผมไม่ได้คิดเอง แต่เป็นของ แกดดัวร์ ผู้เชี่ยวชาญ ด้านฟิตเนส และ ผู้สร้างสรรค์โปรแกรม10 Minute Torchers  ซึ่งการฝึกชุดนี้ ใช้เวลา เพียง 10 นาที โดย วิธีการฝึก นั้น แต่ละท่า ใช้เวลา 1 นาที (หยุดฝึก เมื่อท่าทางในการฝึก ไม่ถูกต้อง ) การฝึก ให้ฝึกเรียงท่า ตามที่กำหนด โดยไม่มีการพักระหว่างท่า  เมื่อฝึกจนครบ ทุกท่าแล้ว ให้หยุดพัก 1 นาที การฝึกชุดนี้ สามารถ ทำซ้ำได้ อาจจะทำซ้ำ  ได้มากสุด 4 รอบต่อไป โดยจัดเป็นการ ฝึกแบบ เซอกิตเทรนนิ่ง เพื่อการเบิร์น และสร้างกล้ามเนื้อ สำหรับ คนที่ไม่ได้เล่นเวตได้ โดย ให้ฝึก วันเว้นวัน เหมือนการเล่นเวต

การฝึกชุดนี้ อาจดูมีไม่กี่ท่า แต่ รับรองว่า ท่าฝึกนี้ นั้น หนักหน่วงเพียงพอ จะใช้ทดแทนการ เวตได้เลยทีเดียว รวมทั้ง สามารถ เบิร์น ได้มากด้วย สำหรับใครที่ การเวต แบบ bodyweight แล้วอยากเบิร์น ไปด้วย ก็จัดไปเลย  3-4รอบ แต่ถ้าเป็นผู้ฝึกใหม่ ก็สามารถฝึกได้ แต่อาจจะมีการปรับท่า หรือ ลดเวลาในการฝึกลง ก็สามารถทำได้ แต่ขอให้ลักษณะความถูกต้องของท่าเอาไว้เท่านั้น

ท่าฝึก

1.Uneven Plank

ตั้งท่าวิดพื้นโดยวาง ฝ่ามือขวาลงกับพื้นตั้งหน้าแขนซ้าย ยันพื้นเอาไว้   เกร็งแกนกลาง ให้แน่นและ หยุดค้างไว้ เมื่อผ่านไป 30 วินาที แล้วจึงเปลี่ยนสลับข้าง โดยวางฝ่ามือ ซ้ายลงกับพื้น ตั้งหน้าแขนขวาขึ้น

2.Side Plank With Quad Stretch


นอนตะแคงซ้าย เหยียดขาให้สุด และตั้งหน้าแขนซ้ายขึ้นรับน้ำหนักตัวช่วงบนยกสะโพกขึ้นจนลำตัวตั้งแต่ไหล่ไป จนถึงข้อเท้าเป็นเส้นตรง จากนั้นยกหน้าแข้งขวา ให้ข้อเท้าเลื่อนเข้าใกล้ช่วงบั้นท้ายมากที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยใช้มือขวา จับปลายเท้าเพื่อค้างท่านี้เอาไว้ ทำข้างละ 30 วินาที 
3.Crab Reach
ตั้งท่าโดยวางฝ่ามือ และเท้าราบไปกับพื้น เริ่มฝึกด้วยการยกสะโพกขึ้น และเอื้อมมือขวา ข้ามไหล่ซ้ายไปด้านหลัง หยุดเกร็งค้างไว้ก่อนจะย้อนกลับมาเริ่มท่าใหม่ ฝึกซ้ำโดยการเปลี่ยนข้าง จนครบ 1 นาที
4.Lateral Pistol Squat 
ยืนเว้นระยะห่างปลายเท้าให้มากกว่าความกว้างของช่วงไหล่สองเท่า เหยียดแขนทั้งสองไปด้านหน้าที่ความสูงระดับไหล่ ถ่ายน้ำหนักตัวมาทางขวา พร้กมับดันสะโพกไปด้านหลัง และย่อตัวลงให้ลักมากที่สุด ค้างท่าไว้ แล้วสลับด้าน ทำให้ครบ 1 นาที 

5.Standing Leg Raise


ยืนทิ้งน้ำหนักไปที่เท้าขวา ยกเท้าซ้ายขึ้นแล้วเหยียดแขน ตามไปสองข้าง ค้างท่าไว้ โดยการติดนิ่ง เมื่อหมดแรง ก็ค่อยๆย่อขาลงมา แล้วทำกลับไปใหม่ จนกว่าจะครบ 30 วินาที ทำ 2 ข้าง ครบ 1 นาที

6.Isometric Squat Ladder 



เหยียดแขนสองข้างไปด้านหน้า ที่ระดับไหล่ ปลายเท้าสองข้าง กว้างระดับไหล่ แล้วย่อลง โดย ที่เข่าไม่พ้นปลายเท้า ลักษณะ ก้นเหมือนหย่อนลงนั่งส้วม จังหวะลง ค้างท่าไว้ สักพัก แล้ว ขึ้น จังหวะขึ้น ให้ ดันสะโพกรับ แต่ไม่เด้ง ทำจนครบ 1 นาที พยายามรักษาเวลา โดยการหน่วงท่าให้ช้าลงทุกครั้งที่ฝึก (รูปที่ใส่ไป อาจจะไม่ตรงท่านักเพราะเข่ากว้างไป ให้แก้ท่า ให้หุบเข่าลง )

7.Archer Pushup



เป็นท่าวิดพื้นที่ มีลักษณะ การกางแขน ย้ายตำแหน่งซ้ายขวา เหมือนการ ยิ่งธนู จึงเรียกว่า ท่าวิดพื้นโรบิดฮู้ด อันนี้ผมตั้งเอง จังหวะ แรก ให้วางมือ 2 ข้างเหมือน วิดพื้นปกติ แล้วค่อย ทิ้งตำแหน่งของแขนไปโดยการย่อแขน และกางแขน เหมือนกำลัง ดึงสายธนู ดูภาพเอาง่ายกว่า ทำ สลับกัน โดยพยายาม หน่วงเวลา เพิ่มขึ้น ทุกๆครั้งที่ฝึก รักษาความถูกต้องของท่า และ รักษาการเคลื่อนไหว ไม่ให้ กระชาก หรือ ล็อกศอก เพื่อผ่อนแรง แบบนั้นไม่เอา ทำสลับข้างจนครบ 1 นาที

8.Airborne Lunge




เหยียดแขนสองข้าง แล้ว ย่อเข่าลง อย่าให้เข่า เลยปลายเท้า เพราะ มันจะมีปัญหากับเข่า และ จะล้ม ให้โถมตัวไปข้างหน้า ขาหลังยกลอยขึ้น เข่าไม่แตะพื้น ลงให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วยันตัวขึ้น ทำสลับข้าง จนครบ 1 นาที


9.Iron Cross To OverHead Pushup Hold Super set 

ชื่อยาวมากเลย จริงๆมันคือท่าที่ รวม 2 ท่าเข้าด้วยกัน ซึ่งเป็นท่าวิดพื้น โหด 2 ท่าคือ PushUp-LaLanne และ Iron Cross Pushup เข้าด้วยกัน โดยเริ่มทำ  ทีละท่า ท่าละ 30 วินาที

ท่าแรก Iron Cross Pushup


เหมือนวิดพื้นทั่วไป แต่กางแขนออก อกไม่แตะพื้น ขึ้นลงช้าๆ

ท่าที่สอง LaLane Pushup 


ท่านี้ จริงๆในรูปเป็น lalane finger push up ใครอยากใช้ ปลายนิ้ว วิดพื้น ก็ลองท่านี้ได้ หรือใช้จะใช้ ท่านี้ แล้ว วิดด้วยมือเดียวก็ได้ โชว์เทพกันไป

2ท่านี้ฝึก ท่าละ 30 วินาที ขึ้นลง ช้าๆ จนครบ 1 นาที เป็น Superset เพราะเล่น 2 ท่าต่อเนื่อง ในมุม ที่ต่างกัน ได้กล้ามเนื้อ ในกลุ่มเดียวกัน ที่ใช้ร่วมกัน

10.Isometric Jump Squat Ladder 



เป็นท่าสควอดจั้มป์ ที่มี จังหวะค้างท่าไว้ เพราะมันเป็น Isometric มันเลยต้องมีการค้างท่าไว้ ผมเขียนเรื่องนี้ไปแล้ว ว่า Isometric คือ การออกกำลังกาย โดยการเกร็งกล้ามเนื้อ ค้างไว้ ในบทก่อนน่ะนะ ท่านี้มันก็เป็น สควอดจั้มน่ะแหล่ะ แต่มันมีค้างท่า โดยในจังหวะดันตัวขึ้น ให้สะโพกรับด้วย แต่ไม่ใช่เด้งสะโพกนะ มีคำเตือนนิดนึง สาวๆ ทำท่านี้ ให้ระวังหัวเข่าให้ดี เพราะ สะโพกผู้หญิง ในช่วงที่เป็นเบ้าต่อกับ กระดูกต้นขา มันจะ หมุนเข้าหาด้านใน ทำให้ ผู้หญิง เวลาเดิน เข่าจะ เข้าหากัน เหมือน เป็ด ซึ่งเวลาทำ Squat Jump ต้องระวังจังหวะลง เขามันจะชนกัน มันจะทำให้บาดเจ็บได้ ให้ระวัง

สำหรับการฝึกชุดนี้ หลายๆท่าเป็นท่าที่หนัก แม้ทำไม่กี่นาที ก็หนัก ผมรู้ว่า คนคิด เป็นฝรั่งเวลาจัดอะไรสักอย่าง หนักตลอด คนเอเชีย โดยเฉพาะชาวไทย ทำยาก อย่างท่า วิดพื้นแบบโรบินฮู้ด มันก็ยากไป ใน 10 นาที สามารถ ไปแกะท่า แล้วทำแยกก็ได้ ไม่จำเป็นต้องทำให้ครบ 10 นาทีก็ได้  แกะออกมาใหม่ ผมเคยเขียนเรื่อง การแกะท่า เพื่อไปฝึกแยกมาแล้ว คุณไปแกะท่ามา โดยในบางที ถ้าหากยากมาก อย่าง Iron Cross ก็อาจดัดแปลงเป็นท่าที่เบากว่า โดยให้ทำในระดับ ศอกแทน แทนที่จะใช้การกางแขนจนสุด เอาศอกพอ ตามหลักการ Overload ที่ผมเขียนไปแล้ว พอคุณทำจนคล่อง ค่อยเพิ่ม ความยาวของระยาง ให้มากขึ้นไปแทน ผมอยากให้ แกะท่าไปฝึก ถึงแม้จะไม่ได้ผลในการฝึก เท่ากับ วิธีการฝึก ที่เค้ากำหนดมา แต่ ถ้าเราฝึก โดยการปรับขั้นตอนไป ก็จะทำท่าที่ยากกว่านี้ หรือ หนักกว่านี้ได้ ทดลองดูนะ ไว้ในอณาคต อาจจะมีการฝึก หรือ ท่าแปลกๆมาแนะนำอีก ซึ่งผมกำลัง รวบรวม ท่า วิดพื้น หลายๆท่า มานำเสนอ แต่มันเยอะ ก็หารูปยากด้วย อย่างเช่น knee Tap push up มันหารูปยาก ขนาด ใน youtube ก็ไม่ค่อยมีคนทำกัน  เอาไว้ใช้เวลาหาหน่อย เพราะมันมี มากกว่า 100 ท่า จริงๆ ผมว่า วิดพื้นอย่างเดียว มีเกือบๆ 500 ท่าได้ ดัดแปลงกันจน เยอะเว่อร์ 

ขอบคุญข้อมูลจาก

http://squeeze-lowfat.blogspot.com/2016/01/10.html

วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2559

Google จ่าย Apple 1 พันล้านดอลล์

จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อสอง ค่ายใหญ่จับมือกัน

 



 Google จ่าย  Apple 1 พันล้านดอลล์
        กลายเป็นประเด็นที่หลายคนให้ความสนใจสำหรับความจริงที่ซ่อนในเอกสารที่ออราเคิล (Oracle) ชี้แจงต่อศาลเพื่อเอาผิดเจ้าพ่ออินเทอร์เน็ตอย่างกูเกิล (Google) ในคดีละเมิดลิขสิทธิ์ โดยสำนวนฟ้องระบุว่า กูเกิลได้จ่ายเงิน จำนวน 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 3.5 หมื่นล้านบาท แก่แอปเปิล (Apple) เพื่อให้ได้เป็นผู้ให้บริการค้นหาข้อมูลบนอุปกรณ์ไอโอเอส ในปี 2014 โดยทั้งแอปเปิล และกูเกิลได้แบ่งปันรายได้จากธุรกิจค้นหาบนอุปกรณ์ไอโอเอสระหว่างกันอย่างอิ่มหนำสำราญ

 สำหรับการฟ้องร้องระหว่างออราเคิล และกูเกิล คดีนี้ ออราเคิลกล่าวหากูเกิลว่า นำเอาซอฟต์แวร์จาวา (Java) ไปสร้างระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ (Android) โดยไม่ได้รับอนุญาต โดยชี้แจงว่า กูเกิลมั่งคั่งเพราะรายได้จากแอนดรอยด์ จุดนี้มีการระบุตัวเลขว่า กูเกิลสามารถทำรายได้จากแอนดรอยด์สูงกว่า 3.6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ นับตั้งแต่เริ่มสร้างระบบปฏิบัติการยอดนิยมนี้ขึ้นมา 

ติดตามเพิ่มเติมได้ที่ http://www.manager.co.th       

วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2559

Lifestyle ... the principles of the Buddha



Lifestyle ... the principles of the Buddha.
Shostakovich was born wit
Ignorance is suffering
I do not know is suffering.
I was troubled to know
Truth is, most of soulless
Calculate how much as it should







ประวัติวัดโบราณ รอบเกาะรัตนโกสินทร์

Do you know what makes people crazy (work) stress.

รู้หรือไม่ว่า อะไรทำให้คนบ้า(งาน) เครียดมากที่สุด ????
 Do you know what makes people crazy (work) stress.




สิ่งเหล่านั้น คือ การทำลายสมาธิ



        โลกทุกวันนี้เต็มไปด้วยสิ่งยั่วยุต่าง ๆ มากมายที่เป็นตัวการทำลายสมาธิ ไม่ว่าคุณจะเป็นคนหนึ่งที่เป็นคนสมาธิสั้นเอง หรือต้องทำงานกับบุคคลที่มีสมาธิสั้นก็ตาม วิธีกำจัดตัวทำลายสมาธิจะช่วยให้เราประสบความสำเร็จในชีวิตได้ เพราะตัวทำลายสมาธินั้นมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ในโลกปัจจุบัน ผู้อ่านคงอยากรู้ว่า 10 ข้อของตัวทำลายสมาธินั้นคืออะไรและมีวิธีแก้ไขได้อย่างไรบ้าง
       
       1. สื่อโลกสังคมออนไลน์ เป็นการง่ายที่เราจะติดต่อกับสังคมออนไลน์และใช้เวลากับการกดไลก์กับข้อความ หรืออ่านโพสต์ของเพื่อนมากกว่ามีจิตใจจดจ่อในการทำงาน บางครั้งเราใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆในการโพสต์ หรือโต้ตอบข้อความ สิ่งเหล่านั้นล้วนแล้วแต่เป็นตัวทำลายสมาธิในการทำงานทั้งสิ้น
       วิธีการแก้ไขง่าย ๆ คือ หลีกเลี่ยงการเข้าไปข้องแวะ หรือติดต่อทางสังคมออนไลน์ในเวลาทำงานแต่ให้ทำในช่วงเวลาพักแทนเพื่อว่าเมื่อถึงเวลาทำงานจะมีจิตใจจดจ่อกับงาน แต่ถ้าไม่สามารถทำได้จริง ๆ ให้ใช้วิธีนำเครื่องมือสื่อสารเหล่านั้นไปไว้ให้ไกล ๆ เพื่อที่เราจะไม่สามารถติดต่ออินเทอร์เน็ตได้จะเป็นการช่วยตัดปัญหาการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสังคมออนไลน์ทำทำให้ขาดสมาธิได้
       
       2. ตอบอีเมลถล่มทลาย การตอบอีเมลส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวกับการทำงาน นับเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เราขาดสมาธิในการทำงานเพราะในแต่ละวันจะมีอีเมล์เข้ามามากมาย หลั่งไหลเข้ามาในเมล์บล็อคของเรา อีเมลเหล่านี้ต่างก็ทำให้เราขาดสมาธิในการทำงาน
       วิธีแก้ไขง่ายง่าย คือ จัดเป็นเวลาเฉพาะสำหรับการตอบอีเมล อย่าให้การตอบอีเมลเป็นช่วงขัดจังหวะในการทำงานหรือความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ในการทำโครงการใดโครงการหนึ่งให้สำเร็จ และยังเป็นการช่วยให้เราจัดเวลาอย่างสมดุลยอีกด้วย
       
       3. เสียงโทรศัพท์มากมายนับไม่หวาดไม่ไหว การที่ต้องใช้เครื่องมือสื่อสารเช่นโทรศัพท์ก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่เป็นตัวทำลายสมาธิในการทำงานอย่างมากดังนั้นวิธีการแก้ไขที่ทำได้คือให้ตั้งกริ่งโทรศัพท์เป็นสัญญาณให้รู้ว่าใครโทร.มาโทรศัพท์จากคนภายนอกหรือคนในครอบครัว โทรศัพท์บางสายนั้นไม่สำคัญ สิ่งที่เราทำได้คือปล่อยให้ฝากข้อความไว้และเมื่อมีเวลาให้เรามาฟังข้อความทั้งหมดแล้วโทรกลับไปได้ภายหลัง
       
       4. หากคุณเป็นคนที่สามารถทำอะไรหลายหลายอย่างได้ในเวลาเดียวกัน อาจจะถือว่าเป็นกำไรของคุณแต่ในความเป็นจริงแล้ว มีการวิจัยทดลองที่พบว่ามีหลายคนที่สามารถทำงานหลาย ๆ อย่างได้ในเวลาเดียวกันแต่ผลที่ออกมาจะใช้เวลามากกว่าคนที่ทำงานหนึ่งให้เสร็จไป เป็นชิ้น ๆ และเริ่มงานชิ้นใหม่
       
       วิธีการแก้ไขง่าย ๆ คือ หากคุณเป็นคนหนึ่งที่สามารถทำงานหลาย ๆ อย่างได้ในเวลาเดียวกันให้คุณเก็บงานเหล่านั้นไว้และไปใช้ในสิ่งที่จำเป็นกว่าเช่นในขณะที่รับโทรศัพท์คุณก็สามารถจัดโต๊ะได้ในเวลาเดียวกัน ทำให้สะอาดเรียบร้อยแต่หากเป็นโครงการงานใหญ่ ๆ ให้เราทำให้เสร็จไปแต่ละชิ้นต่อ ๆกันจะดีกว่าการทำหลายอย่างในเวลาเดียวกัน
       
       5. หากเป็นงานที่แสนจะน่าเบื่อและคุณไม่ชอบที่จะทำงานนั้นอาจจะทำให้คุณอยากจะทำงานอื่นมากกว่างานที่ น่าเบื่อนั้น วิธีแก้ไขง่าย ๆ คือ การให้รางวัลกับตัวเองเช่นหากเราทำงานนี้เสร็จเราจะใช้เวลาพัก 10 นาที อาจจะออกไปเดินเล่นหรือไปนั่งทานกาแฟให้สบายใจก็ได้ การให้รางวัลกับตัวเองเป็นเหมือนตัวล่อตัวหนึ่ง ที่ทำให้เราอยากทำงานนั้นให้ลุล่วงไป หรือให้รางวัลตัวเองโดยการไปออกกำลังกาย ไปเดินเล่นฟังเพลงเบา ๆ สัก 10 หรือ 15 นาที จะทำให้เรามีแรงจูงใจและสมองปลอดโปร่งอีกด้วย
       
       6. สมองมีความสับสนวุ่นวาย ทำให้ไม่สามารถมีจิตใจจดจ่อในการทำงานได้เช่นต้องไปซื้อกับข้าวเย็นนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ขาดมากมายที่บ้านและต้องซื้อให้ครบ สิ่งเหล่านี้ทำให้เราขาดสมาธิในการทำงานได้
       วิธีการแก้ไขง่ายๆคือ ให้เราใช้ตัวช่วย คือ การจดบันทึกรายละเอียดของสิ่งที่ต้องซื้อเพราะเมื่อถึงเวลาเย็นเราสามารถจะนำรายการเหล่านั้นไปซื้อของได้โดยที่ไม่ลืม และจะทำให้เรารู้สึกสบายใจที่เราสามารถจะทำงานได้ครบถ้วนด้วย
       
       7. ความเครียด นับเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราไม่สามารถมีสมาธิในการทำงานได้หากเรามีความเครียดมากจะส่งผลถึงร่างกายเช่นปวดหัว ปวดไหล่ ปวดท้อง ปวดเอว เป็นต้น วิธีการแก้ไข คือ พยายามหาสาเหตุของความเครียดนั้นและแก้ไขให้ตรงจุด หรือใช้เทคนิควิธีการหายใจเข้าลึกลึกและออกให้หมด ทำซ้ำ ๆ และช้า ๆ หลาย ๆ ครั้ง เพื่อให้ผ่อนคลาย หรือใช้วิธีการนั่งสมาธิก็สามารถทำได้
       
       8. มีความวิตกกังวลมากเกินไป ข้อเสียของการมีความวิตกกังวล คือ ทำให้เรานอนไม่หลับในเวลากลางคืน และหากเราไม่สามารถนอนหลับในเวลากลางคืนได้จะส่งผลเสียเป็นอย่างมากต่อสมาธิในการทำงานในวันถัดไปวิธีการแก้ไขคือพยายามหาเวลานอนให้ครบ 7 - 9 ชั่วโมงในแต่ละวันหรืออาจจะใช้เวลาช่วงพัก หลับตาและพักสายตาบ้างจะทำให้สมองโลดแล่นและกลับมาทำงานได้อีกครั้ง
       
       9. ความหิว ความหิวนับว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราไม่สามารถจะทำงานหรือกิจกรรมต่าง ๆ ได้ด้วยดี ดังนั้นสิ่งที่ทำได้ คือขจัดตัวปัญหาออกไปคือให้เรารับประทานอาหารเช้าที่มีประโยชน์และอิ่มท้องในแต่ละวัน เพื่อให้สมองทำงานได้อย่างดีการรับประทานอาหารเช้าจะช่วยให้มีสมาธิและการทำงานมีประสิทธิภาพขึ้นตลอดทั้งวัน
       
       10. ตกอยู่ในภาวะความเศร้าใจอย่างลึกซึ้ง เพราะว่าความเศร้า เป็นตัวบั่นทอนความคิดสร้างสรรค์และกำลังใจในการทำงาน ดังนั้นหากเรามีความเศร้าหรือตกอยู่ในภาวะของการสูญเสียให้เราปรึกษาเพื่อนผู้ใกล้ชิดหรือ ไปหาผู้เชี่ยวชาญ เพื่อจะมาที่จะช่วยให้เรากลับมามีความสุขได้อีกครั้งหนึ่ง
       
       คนมีสมาธิดีนับว่ามีชัยไปกว่าครึ่งเพราะสามารถจะทำสิ่งต่าง ๆให้ประสบความสำเร็จในชีวิตได้ไม่ยาก ดังนั้นหากเรารู้ถึงตัวบั่นทอนใสการมีสมาธิ เราก็สามารถกำจัดสิ่งเหล่านั้นไปได้เพื่อที่เราสามารถจะยืนอยู่ในโลก และเต็มไปด้วยความสุขอีกครั้งหนึ่ง


ขอขอบคุณ 
ข้อมูลอ้างอิง
       webmd.com
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9580000129682





ตัวอย่าง  ผลของการทำลายสมาธิ




เรื่องของพุทธโลกที่พุทธไทยไม่ค่อยรู้ - เรื่อง ไตรเทพ ไกรงู

พุทธวัชรยานที่พุทธไทยไม่ค่อยรู้



พุทธวัชรยานที่พุทธไทยไม่ค่อยรู้

พุทธวัชรยาน(ตันตระ)กับ...เรื่องของพุทธโลกที่พุทธไทยไม่ค่อยรู้ : เรื่อง / ภาพ ไตรเทพ ไกรงู

                  การกระทำที่ถือว่าเป็นการลบหลู่พระพุทธศาสนาของบุคคลบางกลุ่มในช่วงปัจจุบัน มักปรากฏให้เห็นผ่านโลกอินเทอร์เน็ตบ่อยครั้ง สำหรับผู้ท่องโลกอินเทอร์เน็ต หากใส่คำว่า "yab yum" ลงในเว็บไซต์สำหรับค้นหาข้อมูลและรูปภาพ จะได้เห็น "พระพุทธรูปที่มีหญิงสาวนั่งคร่อมบนตัก อยู่ในอาการกำลังเสพสังวาส" อาจทำให้พุทธศาสนิกชนชาวไทย รู้สึกโกรธว่า "เป็นการหมิ่นพระพุทธศาสนาอย่างสุดที่จะทนทาน และสาปแช่งว่า ใครหนอที่ใจบาปหยาบช้า ดูหมิ่นพระพุทธศาสนาได้ถึงขนาดนี้" ทั้งนี้กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) คงต้องทำงานหนักกว่าที่เป็นอยู่หลายพันเท่า
   
               ภาพพระพุทธรูปที่มีหญิงสาวนั่งคร่อมบนตัก อยู่ในอาการกำลังเสพสังวาส นั้น อ.ราม วัชรประดิษฐ์ นักประวัติศาสตร์ด้านพุทธศิลป์ และสุดยอดแฟนพันธุ์แท้พระเครื่อง บอกว่า ในความรับรู้ของคนทั่วไปนั้น "ลัทธิตันตระ" หรือ "ตันตริก" เป็นนิกายหนึ่งของพุทธศาสนาแบบมหายานที่เผยแพร่อยู่ทั่วไปในทิเบต ภูฏาน และจีน ซึ่งจะมีการสร้างรูปเคารพในลักษณะแปลกประหลาดกว่าทางหินยานหรือเถรวาท เช่น มักผนวกเอาเรื่องราวของความศักดิ์สิทธิ์ อิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ ให้ปรากฏในการสร้างพระพุทธรูป พระโพธิสัตว์ พระนางตาราอันเป็นชายาของพระโพธิสัตว์ จนบางกลุ่มถูกเรียกว่า "นิกายมนตรยาน" ก็มี
   
               คำว่า "ตันตระ" (Tantra) หมายถึง ความรู้และการริเริ่ม ซึ่งจะให้ความสำคัญต่อการแสดงออกทางร่างกายในท่าทางต่างๆ ที่เรียกว่า "ปาง" เป็นสำคัญ ความเชื่อในตันตระนั้นเริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่ยุคพระเวทของอินเดียโบราณ นอกจากการที่พราหมณ์จะรจนา คัมภีร์ฤคเวท ยชุรเวท สามเวท แล้วยังเพิ่มส่วนที่เรียกอาถรรพเวทขึ้นมาอีก ซึ่ง "อาถรรพเวท" นี่เองเป็นจุดกำเนิดของแนวคิดแบบตันตระ
   
               เมื่อแนวคิดแบบตันตระก็จะเข้าไปปะปนอยู่กับลัทธินิกายต่างๆ ที่บูชาเทพเจ้า เช่น ไศวนิกาย ไวษณพนิกาย และศักตินิกาย โดยเฉพาะ "ศักตินิกาย" นั้นเป็นการเทิดทูนเทวสตรี เช่น พระแม่อุมา พระลักษมี พระสุรัสวดี เป็นใหญ่ ให้ความสำคัญต่ออิตถีเพศโดยการบูชา "โยนี" โดยเชื่อว่า เป็นสิ่งที่ให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตในจักรวาลควบคู่กับศิวลึงค์ ซึ่งพวกนับถือลัทธิศักตินั้น ได้นำเอาแนวคิดแบบตันตระเข้าไปปฏิบัติ โดยแบ่งเป็น พวกทักษิณาจาริณ คือ ผู้บูชาเทพและเทวีอย่างสุภาพ ส่วนอีกพวกหนึ่งเรียกว่า วามาจาริณ คือ พวกบูชาเทพและเทวีด้วยการประกอบพิธีลับ เช่น พิธีกาฬจักรบูชา เพื่อสรรเสริญศักติของพระแม่อุมาในปางพระแม่กาลี และพระแม่ทุรคา โดยการบูชายัญด้วยเลือดของมนุษย์และสัตว์
   
               นอกจากนี้ยังมีพิธีบูชาด้วยพรหมจรรย์ของหญิงสาวโดยเชื่อว่าเป็นการแสดงออกทางร่างกายให้ศักติโปรดปราน ซึ่งจะยึดหลัก ๕ ประการ ได้แก่ ๑.มัตยะ คือ การเสพรับเครื่องดองของเมา ๒.มังสะ คือ การบริโภคเนื้อสัตว์สดๆ ๓.มัสยา คือ การบริโภคเนื้อปลาสด ๔.มุทระ คือ การบริโภคข้าวโพด เมล็ดแป้งข้าวสาลีเพื่อเพิ่มพลังงานให้ร่างกาย และ ๕.เมถุน คือ การเสพกาม
   
               อ.ราม ยังบอกด้วยว่า เมื่อพุทธศาสนาเกิดข้อขัดแย้งแบ่งออกเป็น ๒ นิกาย ได้แก่ เถรวาทหรือหินยาน และอาจารยวาทหรือมหายาน แนวคิดแบบตันตระก็เข้าไปผสมผสานกับฝ่ายที่ปรับตัวอย่างเด่นชัดซึ่งก็คือพุทธแบบมหายาน ที่ให้ความสำคัญต่อเพศสตรี เช่น การนับถือเจ้าแม่กวนอิม การยกย่องพระนางปรัชญาปารมิตา การเคารพต่อพระชายาของพระโพธิสัตว์ต่างๆ ที่เรียกว่า "นางตารา" หรือ "นางโยคินี" ก่อให้เกิดการสร้างรูปเคารพสตรีจำนวนมากในนิกายพุทธแบบมหายาน
   
               พุทธศาสนามหายานแบบตันตระนั้น ได้แยกออกเป็นนิกายหลายนิกาย เช่น นิกายวัชรยาน หมายถึง ชื่อเรียกรูปเคารพเพศชาย นิกายมนตรยาน ซึ่งเน้นหนักในเรื่องเวทมนตร์ไสยศาสตร์ คาถาอาคม ฯลฯ  นอกจากนี้แล้วตันตระ ยังปรากฏเป็นนิกายย่อยๆ อีกมากมาย เช่น นิกายสหจยาน ซึ่งไม่เชื่อในการถวายสิ่งของให้เทพ หรือพระโพธิสัตว์ เชื่อมั่นในการบูชาด้วยร่างกาย อีกลัทธิหนึ่งคือ นิกายกาฬจักรายาน ซึ่งนับถือ ธรรมชาติ ดวงดาว โดยมีคัมภีร์ที่เน้นหนักไปทางด้านดาราศาสตร์ และโหราศาสตร์โดยเฉพาะ เป็นต้น
   
               เพื่อป้องการความไม่รู้และเข้าใจผิด อ.ราม แนะนำว่า  "ความจริงแล้ววิธีการที่ถูกต้องควรจะรับทราบข้อมูลอันเกิดจากการรับรู้แบบใหม่จากทุกมุมโลก แล้วใช้วิธีคัดแยก เพื่อนำไปสู่กระบวนการวิเคราะห์อย่างเป็นเหตุเป็นผล ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อกระบวนการเปิดความคิดและความรู้เพื่อนำไปสู่งานทางด้านวิชาการและการปรับตัวของสังคมเพื่อให้ทันต่อกระแสโลก ซึ่งจะเป็นการก้าวไปสู่อนาคตของการปรับตัวในโลกสมัยใหม่อย่างเต็มรูปแบบ"


เรื่องของพุทธโลกที่พุทธไทยไม่รู้

               ภาพองค์ดาไลลามะ ผู้นำทางด้านจิตวิญญาณสูงสุดของชาวทิเบต ยกมือไหว้ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช เมื่อหลายปีที่แล้วมีการวิพากษ์วิจารณ์พุทธศาสนิกชนชาวไทยว่า ท่านเป็นพระไม่ควรไปยกมือไหว้ฆราวาส แต่ในมุมมองของชาวพุทธมหายาน กลับไม่รู้สึกอะไร ด้วยเหตุผลที่ว่า "การไหว้เป็นวัฒนธรรมการทักทายแบบพุทธ"
   
               นพ.ดร.มโน เมตตานันโท เลาหวณิช อดีตที่ปรึกษาพิเศษในกิจกรรมพระพุทธศาสนา ในเลขาธิการใหญ่ องค์การสมัชชาศาสนาเพื่อสันติแห่งโลก (WCPR) และอาจารย์ประจำ มหาธรรมศาสตร์(วิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์) บอกว่า เป็นเรื่องปกติที่พุทธศาสนิกชนทุกนิกายและทุกประเทศคิดว่าการปฏิบัติตามแนวทางการตนนั้นถูกต้องและเคร่งครัดที่สุด ทั้งนี้ต้องยอมรับว่าพุทธศาสนาในประเทศญี่ปุ่น และพระเกาหลี บางส่วน ถือว่ามีการเปลี่ยนแปลงมาก เช่น พระมีเมียได้ กินเหล้าได้และเรียกสาเกว่า น้ำแห่งปัญญา พระเป็นอาชีพอย่างหนึ่ง (ตอนกลางวันใส่ชุดพระอยู่วัด ตอนเย็นไปอยู่กับลูกเมียที่บ้าน) วัดเป็นที่ทำงาน มีการแต่งงานระหว่างลูกของพระในนิกายเดียวกันโดยไม่ยอมรับนิกายอื่น
   
               ส่วนพุทธศาสนาในศรีลังกาวัดเป็นของเอกชน พระสามารถตั้งพรรคการเมือง ลงสมัครรับเลือกตั้ง รับราชการ รวมทั้งดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ ส่วนการฉันข้าว ๓ มื้อ เช่น เวียดนาม จีน ทิเบต โดยเรียกมื้อเย็น ซึ่งเป็นมื้อที่ ๓ ว่า "เภสัช" แปลวว่า "มื้อยา" ส่วนการไหว้ที่แตกต่างนั้นต้องยกให้ พุทธนิกายมหายาน ในจีน พระจะไหว้ฆราวาสก่อนเสมอเมื่อพบกัน เพราะถือการไหว้เป็นการลดทิฐิมานะอย่างหนึ่ง
   
               ทั้งนี้ นพ.ดร.มโนพูดทิ้งท้ายไว้อย่างน่าคิดว่า  "พระพุทธศาสนาหลังพุทธปรินิพพานแล้ว ได้มีการเปลี่ยนแปลงมาตลอด พระธรรมจักรของพระองค์นั้นมิได้หยุดนิ่งเลยมา ๒,๖๐๐ ปีมาแล้ว และปัจจุบันก็ยังหมุนอยู่ รูปแบบของศาสนานั้นมีการเปลี่ยนแปลงมาตลอด เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย คือ แรงศรัทธาของประชาชน การรู้จักศาสนาโดยเฉพาะความเชื่อของเราแต่เพียงอย่างเดียวนั้น อันตรายเสมอ ในขณะที่เราเชื่อว่าศาสนาของเราถูกต้องบริสุทธิ์ ชาวพุทธวัชรยาน เขาก็เชื่อเช่นเดียวกัน ใครเล่าจะเป็นผู้ตัดสินได้ว่าใครถูกใครผิด"

พระพุทธศาสนาในโลกกว้างที่ควรรู้ 


ขอขอบคุณ
http://www.komchadluek.net/

วันพุธที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2559

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับหฐโยคะ (Hatha Yoga)

แสงแห่งปัญญาจากอดีตสู่ปัจจุบัน

                 ศาสตร์แห่งโยคะถือกำเนิดขึ้นที่แผ่นดินอินเดียโบราณ มีการกล่าวถึงครั้งแรกในยุคพระเวท ( the Vedas) ซึ่งมีอายุราว ๕,๐๐๐ ปี ก่อนคริสตกาล คำว่า “ยุช (Yuj) มีความหมายว่า การรวมกัน การเชื่อมประสาน ความเป็นหนึ่งเดียว โยคะในคัมภีร์พระเวท เป็นการฝึกฝน หล่อหลอมตนเอง หรือ ชีวา (jiva) ต่อสิ่งสูงสุด หรือจิตวิญญาณสูงสุด หรือ พรหม(Brahman)  ดังเช่นคำสอนโยคะในคัมภีร์อุปนิษัท (Upanishad)  ซึ่งเป็นคัมภีร์ในช่วงท้ายของยุคพระเวท การกล่าวถึงว่า เป็นแนวทางการปฏิบัติตนเพื่อนำตนไปสู่สิ่งสูงสุด หรือ พรหม (Brahman) หรือที่รู้จักกันในนาม ตันตระโยคะ (Tantra Yoga)

                 มีการค้นพบหลักฐานว่ามีวัตถุโบราณเป็นหินแกะสลักรูปโยคีนั่งสมาธิในท่านั่งดอกบัว (the lotus pose) มีอายุราว ๓,๐๐๐ ปี ก่อนคริสตกาล แสดงให้เห็นว่า การฝึกโยคะและสมาธิมีความนิยมแพร่หลายในผู้คนในยุคนั้น

                 ราววศตวรรษที่ ๖ ก่อนคริสตกาล มีมหากาพย์ที่ยิ่งใหญ่อยู่ ๒ เรื่อง คือ มหากาพย์รามายะนะ รจนาโดย ฤาษีวาลมิกิ (Valmiki) เรารู้จักกันดีในชื่อ รามเกียรติ์ เมื่อพระรามและกองทัพยกไปเมืองลังกา เพื่อไปช่วยนางสีดาซึ่งถูกทศกันต์แย่งชิงตัวไป ในการศึกนั้นพระรามมิได้พึงใจที่จะรบแต่อย่างใด แต่ด้วยความจำเป็นที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ของสามี  ถือว่าเป็นปรัชญาในการดำรงชีวิตของอินเดียที่กล่าวถึงการทำหน้าที่และต่อสู้กับสิ่งไม่ดี

                 มหากาพย์มหาภารตะ รจนาโดย ฤาษีไวยาสะ (Vyasa) เป็นวรรณคดีที่ยิ่งใหญ่และมีความยาวที่สุดในโลก พรรณาถึงการทำสงครามแย่งชิงกาารปรกครองแผ่นดิน และการสู้รบของพี่น้องสองตระกูล คือ ตระกูลเการพ กับ ตระกูลปาณฑพทั้งสองตระกูลสืบเชื้อสายจากบรรพบุรุษเดียวกัน ในสมรภูมิทุ่งราบกุรุเกษตร ใช้เวลารบอยู่สิบแปดวัน ในที่สุดฝ่ายธรรมะ คือ ฝ่ายปานฑพก็ได้รับชัยชนะ

 

                ภายในมหากาพย์มหาภารตะ มี ภควัตคีตา  (Bhagavad Gita) อันเป็นเรื่องราวที่คนฝึกโยคะและปรัชญาอินเดียรู้จักกันมากที่สุด กล่าวถึง บทสนทนาระหว่าง พระกฤษณะ สอนโยคะแก่ อรชุน นักรบที่กำลังอยู่ในสนามรบ  เป็นช่วงที่อรชุนรู้สึกหดหู่ใจที่ต้องรบกับญาติกันเอง โดยมีสาระที่สำคัญที่สุด คือการเติมเต็มภาระหน้าที่ของการกระทำในชีวิต อย่างปราศจากความคาดหวัง เป็นหลักในการดำเนินชีวิต

                 พระกฤษณะได้ให้ความหมายของโยคะไว้ว่า

               " สมาตวัม โยคะ อุชัยเต"  (Samatvam Yoga Ucyate)

                หมายความว่า โยคะคือ สภาวะที่จิตใจไม่มีผลกระทบจากความเศร้าโศก เสียใจ หรือความยินดี ความสุข ใดใดทั้งสิ้น

                โยคะที่ปรากฏใน ภควัตคีตา นี้คือ

                กรรมโยคะ(Karma Yoga) เป็นวิถีทางการฝึกตนเองเพื่อการอุทิศการกระทำเพื่อประโยชน์ต่อผู้อื่น          

               ภักติโยคะ (Bhakti Yoga) เป็นวิถีของการตั้งมั่นในการกระทำทั้งมวลด้วยความศรัทธา ความรัก ความมั่นคงต่อพระเจ้าและความจริงสูงสุด

                ญาณโยคะ (Jnana Yoga) เป็นโยคะที่เป็นเรื่องการแสวงหาความจริง ปัญญา โดยนำเอาปรัชญาเวทานตะ (Vedanta) มาใช้เพื่อความเข้าใจในชีวิต

                 จนกระทั่งราว ๕๐๐ - ๒๐๐ ปีก่อนคริสตกาล มหาฤาษีปตัญชลี ได้รจนา โยคะสูตร (Patanjali Yoga Sutra) ขึ้น ถือว่าเป็นรากฐานที่สำคัญต่อศาสตร์โยคะที่เรียกว่า ปตัญชลีอัษฏางคโยคะ (Patanjali Ashtanga Yoga)   ท่านปตัญชลีกล่าวไว้ในโยคะสูตร ด้วยคำที่สั้นๆ ตรงตัว และมีความหมายอย่างยิ่ง จำนวน ๑๙๖ บท ครอบคลุมแนวความคิดเรื่องการพัฒนาชีวิต แต่ละบทเหมือนหยดน้ำแต่ละหยดที่ค่อยๆ เติมเต็มทะเลสาบ กล่าวคือ เป็นคัมภีร์ที่แสดงถึงวิถีแห่งการฝึกฝนอบรมจิตใจที่มีระบบ มีวินัยในการใช้ชีวิต มากมาย 

      ต่อมาราวคริตศตวรรษที่ ๑๕ ได้มีคัมภีร์หฐโยคะปทีปิกะ (Hatha Yoga Pradipika) เขียนโดย ท่านสวามีสวาทมารามา (Swami Swatavarama)

คัมภีร์หฐโยคะปทีปิกะแบ่งเป็น ๔ ส่วน ได้แก่

ส่วนที่ ๑ อธิบายเรื่อง ยะมะ (yama) เป็นการควบคุมพฤติกรรม  นิยะมะ (niyama) หรือ การฝึกตนเอง ท่าการฝึกโยคะ หรือ อาสนะ (Asana) รวมทั้งแนวทางเรื่องอาหาร  

ส่วนที่ ๒ อธิบายเรื่อง ปราณยามะ (Pranayama)  หรือ การฝึกการควบคุมลมหายใจ และวิธีชำระสิ่งสกปรกออกจากร่างกาย หรือ ชัตกามา(shatkarmas)  

ส่วนที่ ๓ อธิบายเรื่องมุทรา (mudras)  หรือการเพ่ง การฝึกพันทะ(bandhas) หรือการปิด นาดิ (nadis) หรือช่องทางเดินของพลังชีวิต และกุณฑาลินี (kundalini) หรือพลังแห่งชีวิต

ส่วนที่ ๔ อธิบาย เรื่อง ปรัตยาหาระ (pratyahara) หรือ การทำให้ความรู้สึกของอินทรีย์สิ้นไป  ธารณะ(dharana) หรือ การแน่วแน่ในจิต ธัยยาณะ(dhyana) หรือ การทำสมาธิ และ สมาธิ (samadhi) หรือการหล่อหลอมตัวตน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานการฝึกโยคะในปัจจุบัน

ขอบคุณ
ข้อมูลจาก  http://www.rayayoga.com/

วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2559

Winners will receive a free voucher for Homeopathy.

Winners will receive a free voucher for Homeopathy.




Search winners Gift Voucher worth 1,000 Baht Treatment of Fine hands spa.
 What kind of heavy free 15 awards Voucher Homeopathy Call our public pages | Share | Comments (five winners receive a free voucher Homeopathy).
This was a classic violated Win a Gift Voucher winners Homeopathy at home.
Staff will contact you within 24 hours  Line : isiblor

** Award
Camara announced the winners via facebook, google + 1 persons per day.
Because dogs are all conditions set by the Fine hands.
Homeopathy is   Line : isiblor 

ธรรมชาติ บำบัด ความเครียด แก้ปวดหัว



โรคเครียด อาการ สาเหตุ วิธีการรักษา โรคเครียด



โรคเครียด เป็นโรคที่เราไม่พึ่งประสงค์มากที่สุด นอกจากจะทำให้สภาพจิตใจของเราย่ำแย่แล้ว ยังทำให้สุขภาพกายของเราย่ำแย่เพิ่มมากขึ้นไปอีก ซึ่งโรคเครียดนั้นมักจะนำพาโรคอื่นๆ ตามมาด้วย ไม่ว่าจะเป็นอาการนอนไม่หลับและอาจไปสู่ภาวะซึมเศร้า เครียดมากๆ กลายเป็นโรคประสาทไปเลยก็มี
               การปวดหัวเพราะความเครียด จะทำให้กล้ามเนื้อของเราเกร็งไปแทบทุกส่วน เราจะต้องทำให้ร่างกายทุกส่วนของเราผ่อนคลายที่สุด  เพื่อผ่อนคลายความตึงเครียด เป็นการลดภาระการทำงานของร่างกาย นอกจากนี้การปวดหัวเนื่องจากความเครียด ยังทำให้ร่ายประสบปัญหา ฮอร์โมนไทรอยด์เกิน คือ ภาวะที่ฮอร์โมนหลั่งออกมามากเกินความจำเป็น ทำให้ร่างกายเกิดการเผาผลาญมากขึ้น เสมือนร่างกายทำงานหนักอยู่ตลอดเวลา  ทำให้น้ำหนักตัวลดลง แม้จะรับประทานอาหารมากขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้เกิดอาการใจสั่น ชีพจรเต้นเร็ว มือสั่น หงุดหงิดง่าย  ตาโปน ผมร่วง ขี้ร้อน เหงื่อออกมาก ถ่ายอุจจาระบ่อยขึ้น หรือบางครั้งอาจเกิดภาวะขาดประจำเดือน บางรายอาจสังเกตเห็นต่อมไทรอยด์ที่อยู่บริเวณลำคอ  ด้านหน้ามีขนาดโตขึ้น มีอาการขาสองข้างอ่อนแรง จนถึงขั้นยกขาหรือยืนไม่ได้
สาเหตุของความเครียดมีที่มาแตกต่างกัน  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องครอบครัว เรื่องคนรัก หรือว่าปัญหาจิปาถะ ที่เกิดขึ้นระหว่างวัน ทำให้จิตใจของเราตึงเครียด ส่งผลให้ร่างกายมีสภาวะเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์และจิตใจและในบางครั้ง เมื่อเราเครียดเราก็อาจจะไม่รู้ตัว แต่อาจจะมีอาการของคนที่นอนไม่หลับแทนก็เป็นได้ บางคนคิดว่าการที่เราเครียดก็คือเวลาที่เรามีปัญหาหนักๆ แต่ความเป็นจริงแล้วเรื่องเล็กๆ ก็ทำให้เราเครียดได้ แม้ในปริมาณไม่มาก แต่ถ้ามีการสะสมมากขึ้นก็เป็นผลเสียต่อร่างกายและจิตใจของเราได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น การอ่านหนังสือสอบไม่ทัน รถติด ตื่นสาย หาของไม่เจอ ติดต่อเพื่อนหรือญาติสนิทไม่ได้ มาไม่ทันรถเมล์ เถียงกับแม่ค้า เป็นต้น ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำให้เราหงุดหงิดใจ และเป็นความเครียดต่างๆ ที่เราสะสมเอาไว้ ซึ่งหากว่ามากขึ้นไป ก็จะทำให้เราเสียสุขภาพจิตได้
ตัวอย่างของภาวะร่างกายและจิตใจที่บ่งบอกว่าเราเครียดมาก จนถึงขั้นอันตรายได้แก่ อาการปวดตึงของกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นแขน ขา คอ ไหล่ หลัง เมื่อเราเครียด กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของร่างกายจะตึงเครียดขึ้นมาโดยที่เราไม่รู้ตัว จะมีปัญหาเรื่องความดันโลหิตที่สูงขึ้น ปวดหัว ปวดท้อง   นอนไม่หลับ หัวใจเต้นแรง หอบ และ อ่อนเพลีย เป็นลมง่าย อาการเหล่านี้จะส่งผลต่อสภาพจิตใจ ทำให้เราหงุดหงิดง่าย วิตกกังวล ซึมเศร้า มีผลทำให้ร่างกายของเราอ่อนแอ และเจ็บป่วยได้ง่าย 
“ไมเกรน”

ถือว่าเป็นโรคยอดฮิต ของคนในยุคปัจจุบัน เมื่อมีอาการกำเริบจะทำให้หลอดเลือดภายในกะโหลกศีรษะหดตัว ในขณะที่หลอดเลือดภายนอกกะโหลดศีรษะ เช่น ที่ขมับพองตัว ส่งผลทำให้มีอาการปวดหัวตรงกลาง ตรงขมับ มึนงง เวียนศีรษะ หรือปวดหัวข้างใดข้างหนึ่ง ระยะเวลาปวดตั้งแต่ 4 – 72 ชั่วโมง ซึ่งไมเกรนเกิดจากสิ่งกระตุ้นต่างๆ
สิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการเครียดได้ มีดังต่อไปนี้

ทางตา : แสงแดด แสงจ้า แสงระยิบระยับ การใช้สายตาเคร่งเครียด หรือลายตา
ทางหู : เสียงดัง เสียงจอแจ
ทางจมูก : กลิ่นต่างๆ อาจเป็นกลิ่นน้ำหอม ควันบุหรี่ เป็นต้น
ทางลิ้น : อาหาร เช่น  อาหารทะเล ช็อกโกแลต ผงชูรส เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กาแฟ  ยาคุมกำเนิด ยานอนหลับ
 ทางกายภาพ : อากาศที่เย็นจัด ร้อนจัด อบอ้าว อดนอน นอนมาก ร่ายกายเหนื่อยล้า อาการเจ็บปวดต่างๆ เช่น ปวดฟัน ปวดประจำเดือน เป็นต้น
ทางใจ : ความเครียด กังวล ซึมเศร้า
วิธีบำบัดที่สามารถช่วยบรรเทาอาการเครียด

การบำบัดโรคเครียดนั้นมีหลายวิธี
             วิธีแรกเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ คือ การจัดการกับปัญหาทั้งหลายทั้งปวงให้เรียบร้อย การแก้ปัญหานั้น  มีอยู่ 3 วิธี ก็คือ การสู้ การหนี และการปล่อยให้มันเป็นไป การจะเลือกใช้วิธีไหนนั้นเราก็ต้องดูความเหมาะสม เพราะบางครั้งการวิ่งเข้าชนปัญหาก็ดูเหมือนว่าจะทำให้ความเครียดของเรายุติลงไปง่ายกว่าวิธีอื่นๆ
               นอกจากการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุแล้ว ควรจะหาเวลาผ่อนคลายร่างกายและจิตใจ ให้กลับมาสู่ภาวะปกติ โดยออกไปเดินเล่นชมสวน หรือ ทำงานอดิเรกที่เราชอบ ออกกำลังกาย ฟังเพลงพื่อคลายเครียด เต้นรำ ตามใจตัวเองบ้างตามสมควร โดยที่ไม่ทำให้ตัวเองและผู้อื่นเดือดร้อน รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยรับประทานอาหารจำพวกผักผลไม้เยอะๆ และ งดอาหารที่ทำให้ร่างกายเสียสมดุล หรือตกอยู่ในความเครียดมากขึ้น เช่น บุหรี่ เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ทุกชนิด กาแฟ ชา ยากล่อมประสาท ยานอนหลับ   นอกจากนั้น การทำสมาธิ รำไทเก็ก และการเล่นโยคะ ช่วยทำให้ความเครียดของเราลดลง เป็นการออกกำลังกาย ที่ช่วยทำให้จิตใจของเราสงบ การใช้ วารีบำบัดจะช่วยสร้างสมดุลของร่างกายโดยอาศัยความร้อนความเย็นของน้ำที่มากระทบผิวกาย หากต้องการความสดชื่นจากอาบน้ำ ให้อาบน้ำเย็นแทนการอาบน้าอุ่น การอาบน้ำอ่นหรือแช่น้ำอุ่นนานๆ จะมีผลทำให้เลือดคั่ง ประสาทอ่อนล้า กระวนกระวาย และ ง่วงเหงาซึม แต่อาบน้ำเย็นจะมีผลสืบเนื่องทำให้ร่างกายอบอุ่น สดชื่น และสบายตัว การอาบน้ำร้อนควรทำกรณีเดียวคือ เมื่ออาบน้ำแล้วเข้านอน ผลของความร้อนจะทำให้นอนหลับ  น้ำอุ่นที่สัมผัสกับร่างกายจะทำให้เส้นเลือดยายตัวและหมุนเวียนได้ดี แต่ก็เพิ่มภาระในการทำงานให้กัับร่างกายของเรา                
                วิธีการบำบัดอาการปวดศีรษะ ด้วยธรรมชาติ หรือ  โสตตะบำบัด  หนึ่งทางเลือกของการบำบัดร่างกายและจิตใจไปพร้อมกัน เป็นการพักผ่อนหย่อนใจ ใช้วิธีดึงความรู้สึกผ่อนคลายมาสู่ผู้รับบริการ ผ่านโสตประสาทสัมผัสทั้ง 5  ด้วยการสร้างบรรยากาศที่ใกล้เคียงกับธรรมชาติ เพื่อผ่อนคลายระบบประสาททั้ง 5  ลดความตึงเครียดในการทำงาน ทำให้ผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ 
ประกอบด้วย
1.รูป การสร้างบรรยากาศให้ผ่อนคลาย เพิ่มความสดใสสดชื่น ด้วยสีเขียวจากต้นไม้นานาชนิด แต่งแต้มด้วยสีสันหลากสีของดอกไม้ เสมือนภาพธรรมชาติที่มีชีวิต
2.รส  การดื่มน้ำต้ม ที่มีสรรพคุณทำให้ร่างกายผ่านคลายลดภาระการทำงาน
3.กลิ่น การใช้กลิ่นหอมบำบัด (aromatherapy)
4.เสียง การได้ฟังดนตรีเบาสบายแนว spiritual music หรือเสียงแบบธรรมชาติ เช่น เสียงนกร้อง เสียงน้ำไหล เสียงคลื่น
5.สัมผัส การได้รับสัมผัสที่อ่อนโยนทะนุถนอม เพื่อบำบัดร่างกายและจิตใจให้เข้าสู่ภวังค์ นำสู่การผ่อนคลายอย่างลึกล้ำ
อาหาร : คนที่ป่วยเป็นไมเกรนจะมีระบบย่อยและดูดซึมแมกนีเซียมไม่ดีเท่าที่ควร ดังนั้นจึงควรกินอาหารที่อุดมด้วยแมกนีเซียมเพื่อช่วยบรรเทาอาการไมเกรน
น้ำมันหอมระเหย : ช่วยทำให้ระบบประสาทต่างๆ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปรับสมดุลของอารมณ์ และจิตใจให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งวิธีการบำบัดสามารถทำได้ทั้งนวด และประคบ
การนวด ผู้ป่วยที่เป็นไมเกรนควรมีน้ำมันหอมระเหยเปเปอร์มินต์ที่ช่วยทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า และลาเวนเดอร์ซึ่งช่วยให้คลายกังวล ลดความความเครียด และอาการซึมเศร้า ติดบ้านไว้เสมอ เมื่อมีอาการให้เทน้ำมันหอมระเหยทั้ง 2 ชนิด อย่างละ 1 หยด ผสมกับน้ำมันอัลมอนด์หอม 2 ช้อนชา นำมานวดที่บริเวณขมับและต้นคอเบาๆ
การประคบ   ประคบร้อนและเย็น ผ้าชุบน้ำประคบบริเวณขมับและหน้าผากทุกวัน 
ที่มา  Healthlink



วันพุธที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2559

ตำแหน่งงานว่าง ต้องการคนขยันด่วน

Put the right man on the right job ..... อ่านต่อได้ที่: https://www.gotoknow.org/posts/514443
Put the right man on the right job ..... อ่านต่อได้ที่: https://www.gotoknow.org/posts/514443
Put the right man on the right job ..... อ่านต่อได้ที่: https://www.gotoknow.org/posts/514443
Put the right man on the right job ..... อ่านต่อได้ที่: https://www.gotoknow.org/posts/514443
Put the right man on the right job.
 ต้องการคนทำงานด่วน

ช่างยนต์ / ช่างกลโรงงาน / ช่างเทคนิค
 กฎหมาย
 เจ้าหน้าที่ขาย-การตลาด / พนักงานขาย-การตลาด ช่างจิวเวอร์รี่ /ช่างทอง-เงิน
สุขภาพความงาม/เสริมสวย/สปา/ฟิตเนส
เศรษฐศาสตร์/สถิติ/งานวิจัย/หุ้น/การประกันภัย

งานสำหรับผู้พิการ

เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยวิชาชีพ(จป.วิชาชีพ)
ส่งเอกสาร/ส่งผลิตภัณฑ์/ขับรถ/แม่บ้าน/รปภ.


ประชาสัมพันธ์/บริการลูกค้า

  วิศวกรสื่อสาร/โทรคมนาคม

 งานบันเทิง/นักแสดง/พริ๊ตตี้/นักดนตรี/นักร้อง

  งาน Part-time/นักศึกษาฝึกงาน

วันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2559

ใครอยากประสบความสำเร็จต้องตอบคำถามนี้ให้ได้

 รู้หรือไม่ คนประเภทใหน ไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้

1. คนไม่มีความรู้   2. คนไม่ต้องการรู้
3.คนที่ไม่คิดอะไรเลยในชีวิต4.คนที่เก่ง   
5. คนที่คิดว่าตัวเองฉลาด
6. คนที่อวดดีอวดเก่งสุด ๆ


ถาม  : คือ ? คำตอบสำหรับตัวเองนะครับ

หากวันนี้คุณมีเงิน10 ล้านจะทำอะไรกับชีวิต
เป้าหมายในชีวิตของคุณคือ...ต้องการใช้ชีวิตแบบใหนอย่างไร

คุณคิดว่า การเล่นเกม การทำงาน และการทำธุรกิจ เหมือนกันหรือไม่ แตกต่างกันอย่างไร

ตอบ.......

ถ้าการเล่นเกม การทำงาน และการทำธุรกิจ คือการต่อเกม จิ๊กซอล คุณต้องการอยู่ตรงไหนของเกมนี้

ตอบ........

ถ้าคุณต้องการ เล่นเกม   ทำงาน  หรือทำธุรกิจ  จะเริ่มจากอะไร

ตอบ.......

ขนาดของเกมจิ๊กซอลที่คุณ เลือกมีปริมาณกี่ชิ้น ถ้ามีเวลาต่อทั้งชีวิต

ตอบ.......

คุณคิดว่าพร้อมหรือไมในการเล่นเกมจิ๊กซอลนี้ของคุณ

ตอบ........

สิ่งที่คุณต้องการในการเริ่มเกมคือ.........

ตอบ......

คำถามทั้งหมดเป็นคำถามที่ต้องตอบใจตัวเอง  

การศึกษา จิตปรมัตถ




ที่สุดของ ปัญญา  คือ  วิชา (ความรู้)

ที่สุดของ ความทุกข์  คือ  อวิชา  (การไม่รู้)

ที่สุดของ ชีวิต  คือ  อนัตตา (การไม่มี)

ที่สุดของ มนุษย์  คือ  โลกุตตร 


ความลับที่โลกปิดบัง

การอบรมจิตเพื่อควบคุมกายและวาจา

พระธรรมเทศนา

เรื่อง  การอบรมจิตเพื่อควบคุมกายและวาจา


ทีนี้มาพูดถึงการมาของพวกเราแล้ว ต่างคนต่างก็มุ่งเพื่อทำความดีกัน แต่ความดีอันนี้เป็นสิ่งที่น่าทำ เพราะว่าความดีที่เราจะกระทำนี้ เป็นผลดีแสดงตอบ หรือว่าแสดงให้แก่เรา ปัจจุบันนี้พวกเราก็มีความสุข อย่างพวกเรามาอย่างนี้รู้สึก แหม สบายใจ กลับไปนึกถึงการมาวัดของเราก็ภูมิใจ ดีใจ สบายใจ อันนี้มันเป็นบุญ ที่นี้ ถ้าหากเราไม่ได้มาวัดหรือไม่ได้ประพฤติความดี มันก็อย่างว่า จิตใจมันก็ยังไปเกาะอันนั้นอันนี้วันนี้เราทำสิ่งที่ไม่ดีอะไรต่ออะไรบ้าง มันก็ไม่สบายใจ มันก็ตรงกันข้ามกันมา ทีนี้พูดถึงความดีส่วนสำคัญที่เราจะปรับปรุง ส่วนใหญ่มันก็อยู่ ๓ นัย คือต้องทำให้ใจของเรานี้เป็นเบื้องต้น แล้วทำให้กายดีและวาจาดี แต่ส่วนกายและวาจานี้มันออกไปจากจิต เพราะจิตของเรานี้มันเป็นตัวบังคับการ กายและวาจา ต้องเป็นไปตามอำนาจของจิต 

เพราะฉะนั้น สำคัญอยู่ที่จิต  จิตนี้สำคัญมาก ถ้าจิตไม่ดีแล้วการแสดงออกทั้ง ๒ คือ กายและวาจา ไม่ดีแน่ เช่น จิตโกรธอย่างนี้ การแสดงทางกาย และวาจาออกมา มันก็มองชัดอยู่แล้วว่าไม่ดี มนุษย์ทั้งหลายเห็นก็คงว่าไม่ดี ไม่ชอบ ไม่อยากเข้าใกล้ ในเมื่อคนนี้กำลังโกรธหรือแสดงบทบาทที่ว่าโกรธอยู่ ก็ไม่อยากเข้าใกล้เลยทีเดียว อยากจะหลบหนีให้ห่าง ก็เพราะว่าการแสดงออกไม่ดี ที่นี้ อันไม่ดี ตัวตนมันมาจากจิต จิตมันไม่ดี ตัวจิตมันโกรธ มันจึงได้แสดงออกมาภายนอกได้เห็นประจักษ์ อันนี้ก็หมายความว่ามันไม่ดี เพราะฉะนั้นหากในเมื่อจิตของเราไม่ดีแล้ว กายและวาจา จะดีไปไม่ได้ เพราะว่าจิตเป็นตัวบังคับการใหญ่ เป็นผู้สั่งการ เพราะฉะนั้น ดีหรือไม่ดีมันก็อยู่ที่จิตนั่นแหละตัวสำคัญ ถ้าเราปรับปรุงหรือบำรุงจิตของเราหรืออบรมจิตของเราให้ดีแล้ว กายและวาจา ของเราดีแน่ 

เพราะฉะนั้น เหมาะสมเหลือเกินพวกเรามาที่นี่ มุ่งหวังที่มาอบรมจิตของตัวเองให้ดี แต่อุบายวิธี การอบรมจิตของตัวเองให้ดีนี้ก็สำคัญที่สุดคือการได้ยินได้ฟังบ่อย ๆ การได้รู้ได้เห็นหมู่คณะประพฤติ เช่น ดุจในสมัยที่อาตมาเข้าไปอยู่สำนักของท่านอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ นี้อาตมาเห็นผล เพราะได้ดูการเคลื่อนไหวของท่านอาจารย์ใหญ่มั่นการลุกเหินเดินนั่งพูดจา กิริยาพาที ส่วนภายนอกมันประจักษ์เพราะหูเราฟังได้ ตาเรามองเห็นได้ แต่ส่วนจิตใจของท่านไม่มีอะไรที่จะเข้าไปมองได้ แต่ก็มองถึงส่วนแสดงออกทางกายและวาจา ที่แสดงให้เราเห็นให้เราได้ยิน แต่ส่วนนี้มันก็มาจากใจ คล้ายกันกับว่าถึงแม้เราจะมองส่วนภายนอกมันก็ทำให้มองเข้าไปถึงใจได้ เพราะใจของท่านดี ใจของท่านปราศจากอาสวกิเลส ๆ ไม่ได้กระตุ้นใจ คือ ความรู้สึกทางด้านใจของท่านให้เป็นไปตามระบบของกิเลสได้ หมายความว่ากิเลสตัณหานี้ไม่มีทางที่จะบังคับจิตของท่านอาจารย์มั่นให้เป็นไปตามรูปของมันได้ ท่านอาจารย์มั่น มีกระแสจิตเป็นไปตามธรรมมีธรรมเป็นสิ่งนำพา ญัตติเข้าสู่ธรรมตลอดเวลา เพราะฉะนั้น การแสดงออกทางร่างกายและวาจาของท่าน จึงเป็นไปตามรูปเดียวกันคือว่ามีธรรมเครื่องเป็นอยู่ตลอด อาตมาได้เห็นแล้วก็พยายามดำเนินตัวเองให้เป็นไปตามรูปของท่าน ถึงแม้ว่าจะไม่มีความสามารถกระทำได้ดี ละเอียดลออทุกอย่าง ยังน่าภูมิใจเพราะว่าเราได้เห็นถึงแม้ว่าไม่ได้เห็นพระอริยเจ้าในยุคสมัยพุทธกาลก็ตาม เห็นท่านอาจารย์ใหญ่มั่น ภูริทัตตเถระ ที่ท่านเป็นอริยบุคคล ในยุคสมัยนี้ ซึ่งอาตมาเกิดมาทัน ได้เห็นการแสดงออกภายนอกทางกาย และวาจา ซึ่งเป็นสิ่งที่เรามองด้วยตาและได้ฟังด้วยหู พิจารณาแล้วว่าท่านแสดงออกทุกิริยาอาการทุกบทบาท มีอะไรเป็นสิ่งนำพากันแน่ 

สรุปแล้วก็มีธรรมเป็นสิ่งนำพาตลอดเวลา กิเลสไม่มีทางที่จะนำพาไปได้ เพราะฉะนั้น เป็นเหตุให้ปลื้มใจ มีความปีติในใจเป็นอย่างมาก สำหรับที่ได้ไปเห็น ที่พูดก็อยากจะให้เข้าใจว่า สำหรับพวกเราแสวงหาครูบาอาจารย์และผู้ประพฤติธรรมที่ดีแล้วเพราะเราจะได้เห็นตัวอย่างจากผู้ประพฤติธรรมทั้งหลาย ว่าผู้ประพฤติธรรมทั้งหลายมีมารยาทการแสดงออกอย่างไรบ้าง เรียกว่าผู้ประพฤติธรรม และพระสงฆ์ ครูบาอาจารย์ก็ดี ผู้ประพฤติธรรม ท่านมีบทบาทแสดงออกอย่างไรบ้างทางกาย ทางวาจา และจิตใจ เราก็ได้พิจารณา สรุปได้ความว่าการแสดงออกของผู้ประพฤติธรรมคืออย่างนี้ เราก็จะได้ดำเนินตัวของตัวเราให้เป็นไปตามรูปของท่าน นี่เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น เราผู้มุ่งหวังที่จะอบรม กาย วาจา และจิตตัวเองให้ดี เราก็ควรที่จะไปมาหาสู่หมู่คณะผู้ประพฤติธรรมเสมอ นี่ดีแล้วถูกต้องแล้ว และบรรดาพวกท่านทั้งหลายที่มานี้ เป็นสิ่งที่น่าภูมิใจ 

ขอให้พวกเราจงพยายามกระทำให้เสมอไปเถิด ทีนี้ส่วนอุบายวิธีที่จะเราดำเนินให้ดีนั้นก็ต้องหาเหตุผลต่าง ๆ มาช่วยกระตุ้นและเตือนตัวเอง คือ เหตุผลนั้นในเบื้องแรกเราก็ต้องหาอุบายวิธี สร้างสติด้วยการทำสมาธิ เช่น การนั่งทำสมาธิกำหนดลมหายใจเข้า-ออก ที่ปลายจมูกใช้บริกรรมภาวนาประกอบ หายใจเข้า พุท หายใจออก โธ  พุทโธ ๆ ๆ ด้วยอุบายวิธีที่กระทำก็ต้องการอยากจะให้ทดลองสติว่ามีความสามารถปกครองความรู้สึกของตัวเอง ให้อยู่ในอำนาจของสติที่เรากำหนดบังคับนี้หรือไม่ อยู่ที่จุดเราตั้งไว้ที่ปลายจมูกหรือไม่ ถ้าจิตของเราหากไปเกาะอารมณ์สัญญาภายนอกด้วยการเผลอไปเราก็กำหนดใหม่ พุทโธ ๆ ให้ทำอย่างนี้เสมอไป ถ้ามันเหนื่อยเราก็นอนตะแคงขวา เอามือขวาซ้อนไปที่แก้มเอามือซ้ายวางราบไปตามตัว แล้วก็กำหนดอย่างเดิมนั่นแหละ ที่ปลายจมูกพุทโธ ๆ อยู่เรื่อย แต่ไม่ออกเสียงนะ พุทโธ ๆ เรื่อยไป  มันหลับก็หลับไป ตื่นขึ้นมาก็พุทโธ ๆ ใหม่ 

มันเหนื่อยเราเดินจงกรม อย่างที่อธิบายสู่กันฟัง พอไปถึงทางเดินกรม ทางที่เราจะเดินยาวประมาณ ซัก ๒๕ ก้าว หรือว่ามันยาวสั้นเข้ามาก็ได้ ถ้ามันสั้นนักยาวออกไปก็ได้ ตามแต่สถานที่หรือตามแต่ถนัด เสร็จแล้วยืนตรง ประนมมือ พุทโธ ธัมโม สังโฆ ๆ ๆ เสร็จก็วางมือลงไป เอามือซ้ายวางก่อน เอามือขวาวางเกาะหลังมือซ้าย เดินก้าวขาขวา เดินก้าวขาขวาไป พุท ก้าวขาซ้ายไป โธ พุทโธ ๆ อย่าช้านักอย่าเร็วนักพอถึงจุดทางโน้นเสร็จยืนนิดหน่อย เวียนขวาก็หันทางขวา ให้ตรงมาถึงทางเดินจงกรม ยืนนิดหน่อยก็ก้าวลง พุทโธ ๆ จนไปถึงทางโน้น เวียนทำอย่างนี้เสมอ โดยอุบายวิธีก็ต้องการอยากจะให้จิตของเรานี้ อยู่ในอำนาจของตัวบังคับตัวสั่ง เมื่อเราเหนื่อยแล้วเราก็ยืน หลับตาก็ได้ลืมตาก็ได้ ทำมือเหมือน ๆ กับเดินจงกรม และก็กำหนด พุทโธ ๆ เรื่อยไป อยู่อย่างนั้น 


หรือหากในเมื่อเราทำงานทำการก็ดีหรืออ่านหนังสือก็ดี ก็ขอให้มีสติ คุมรับรู้อยู่ในงาน อย่าไปทำให้เป็น ๒ หน้า เช่นงานอันนี้ต้องให้สมบูรณ์เต็มสมบูรณ์เลย ไม่ให้มีแบ่งส่วนไปทางไหนเลย แต่ใจไปคิดอันนู้นไม่เอา ต้องให้สมบูรณ์คือว่าให้เต็มสมบูรณ์เลย ไม่ให้แบ่งส่วนไปทางไหนเลยให้ทำอย่างนี้ แล้วก็พุทโธ ๆ อยู่ โดยวิธีแล้วก็ต้องการจะให้สติสัมปชัญญะนี้สมบูรณ์ เพื่อหาอุบายวิธี ที่จะมาป้องกันจิตของเรา ไม่ให้รั่วไหลเป็นไปตามรูปของสิ่งกระทบ คือเหตุการณ์ โดยจุดประสงค์ของเรา ขอให้ตั้งใจเอาไว้อย่างนี้ 


ที่นี้ต่อจากนั้นไป หากในเมื่อเราไป ณ สถานที่ใด เราก็พยายามฝึก การลุกขึ้นมันเผลอตัวไหม การนั่งลงเผลอตัวไหม การลุกขึ้นทำอย่างไรจึงจะเหมาะสมกับ เพศ วัย ฐานะ การนั่งลงจะทำอย่างไรจึงจะเหมาะสมกับ เพศ วัย ฐานะ เราก็พยายามดูครูบาอาจารย์และหมู่คณะผู้ประพฤติธรรม ลุกอยางไร นั่งอย่างไร ซึ่งตัวอย่างที่ดีที่สุดนั่นแหละ เราก็พยายามจัดตัวของเราให้เป็นไปตามรูปนั้นเสมอ ให้จนชิน ให้จนชำนาญ อาศัยสติสัมปชัญญะ ตัวประคองจิตให้อยู่ในอำนาจของมันนี่ให้ไวที่สุด เอามาจับมาแต่งตรงนี้ ตลอดการหยิบของ การวางของ อะไรต่ออะไรต่าง ๆ ตลอดมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ก็บังคับให้เกิดมีความรู้สึกให้มันชัดในสมอง ว่าอันนี้ควร ดีหรือไม่ดี มันไม่ได้ก็รีบพยายามเข้าไปแก้ไขอะไรเหล่านี้ พยายามฝึกและบังคับตัวเองอย่างนี้เสมอไป 


ทีนี้เมื่อเหตุการณ์มันเกิดปรากฏขึ้น เช่น เขาด่าเรา เราจะทำอย่างไร เราก็ต้องพยายามใช้อำนาจตัวนี้ ตัวที่เราสร้างขึ้นมาบังคับไว้ก่อน คือว่ากระตุ้นไว้ก่อนอย่าให้เป็นไปตามเหตุการณ์ แล้วถึงใช้บทวิจารณ์เพื่อหาเหตุผลมาแก้ให้เป็น เราเป็นลูกศิษย์ของครูบาอาจารย์ เมื่อเขาด่าเรามา เราด่าเขาตอบ ความเสียหายจะเท่าไร มันเสียหายถึงครูบาอาจารย์และศาสนาด้วย มันเสียหายไปจนกระทั่งคุณพ่อคุณแม่ หรือชาติโคตรตระกูลของเราด้วย มันไม่เฉพาะเราคนเดียว เพราะฉะนั้น ไม่สมควรที่เราจะต้องตอบเขาด้วยกิริยาแบบนี้ นี่เป็นอย่างนั้น ถ้าเรามีช่องทางที่จะแก้ไขได้หรือเรามองเห็นว่าพอที่จะแก้ไขได้ แต่ในเมื่อจิตของเราสงบแล้ว ไม่โกรธ ไม่เป็นไปตามรูปของเหตุการณ์แล้ว เราก็หาวิธีพูดให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้าเราไม่มีช่องทางที่จะพูด ก็เฉย นิ่งเสียดีกว่า เพราะพระพุทธเจ้าผู้พระบิดาพระองค์ทำแบบนั้น และก็สอนพวกเราอย่างนั้น 


ที่นี้เมื่อมีเหตุการณ์อย่างอื่น เราก็พยายามหัดคิดอย่างนี้เสมอ เพื่อจะเอาเหตุผลต่าง ๆ มาเพื่อบังคับจิตหรือประคองจิตของเรา ให้อยู่ในคำที่เรียกว่าปกติ นี้เสมอ ไม่ให้เป็นไปในทางที่บาป สิ่งใดที่มันปรากฏขึ้น จะชวนให้เราดีใจ เช่น เขาชมเรา ปรากฏจิตใจมันฟู ลอยขึ้นมา เราก็หาเหตุผลมาให้ โลกนี้ก็แค่นี้เอง มันมีสรรเสริญกับนินทาคู่กันอยู่ ถ้าเราหลงในทางสรรเสริญแล้ว นินทาเราก็ไม่ต้องการเมื่อนินทามันเกิดขึ้นมาแล้วมันก็เศร้าหมองอะไรเหล่านี้เป็นต้น เราก็หาเหตุผลเตือนอยู่เสมอ 


เพราะเหตุนั้น เหตุการณ์ใดที่ปรากฏ ที่เราได้ประสบมันกำลังเผชิญกันอยู่ เราก็พยายามน้อมนึกถึงพระพุทธเจ้าผู้พระบิดา พระองค์เป็นอัจฉริยมนุษย์ ท่านเป็นผู้ดีจริง ถึงขนาดท่านเป็นลูกชายใหญ่ของกษัตริย์ ถ้าเรามองดูแล้วในยุคสมัยโน้น ปกครองแบบราชาธิปไตยมีอำนาจยิ่งใหญ่มากแต่ในหลักพระพุทธเจ้าสัพพัญญูพุทธะองค์นี้ที่พวกเราได้ทราบ ถึงแม้จะมีเหตุการณ์รุนแรง ซึ่งไม่สมควรที่พระองค์จะต้อง หรือพูดกันง่าย ๆ มองดูตามเหตุการณ์ที่ปรากฏแล้ว ไม่น่าพระองค์จะยับยั้งได้เลยแต่พระองค์ก็หาวิธียับยั้งตัวเองโดยวิธีที่แนะนำให้นี้พระองค์ก็สามารถที่รู้เท่ากับสิ่งที่ได้ประสบอยู่นั้นจนถี่ถ้วนและละเอียดลออ จนมองเห็นว่า อันนี้มันเป็นกฎธรรมดาของโลก หรือสภาพของโลก มันก็มีอยู่แค่นั้น รู้เท่าวาระนั้นทั้งหมด จิตของพระองค์ ไม่แสดงต่อแม้แต่นิดเดียว 


เรียกว่าปรกติอยู่ซึ่งผู้พระบิดาบรมครูของพวกเรา พระองค์ก็หาเหตุผลมาแก้ไขจิตของพระองค์ให้ปรกติต่อสิ่งกระทบทั้งด้านดีและด้านชั่วเขาชมเชยหรือสรรเสริญหรือตำหนิเหล่านี้เป็นต้น พระองค์ก็มีอุบายวิธีแก้ไข จนเป็นปรกติอยู่ตลอดเวลาพวกเราก็สมควรต้องนึกถึงอุบายวิธีที่พระองค์ดำเนินซึ่งผู้พระบิดาของเราดำเนินมาแล้วควรที่จะอายพระองค์บ้างว่าเราผู้ถวายตัวเป็นลูกของพระพุทธเจ้านี้ เหตุการณ์อันนี้ปรากฏขึ้นเมื่อเป็นไปตามรูปของเหตุการณ์นี้ เขาชวนให้เราทะเลาะกันก็ดีเหล่านี้เป็นต้น เราก็ควรจะน้อมนึกถึงพระองค์ว่า ผู้พระบิดาของพวกเรา พระองค์ดีจริงเป็นอัจฉริยมนุษย์ซึ่งตามความเป็นมา ของพระองค์แล้วว่าพระองค์ไม่ได้ใช้วาทะรุนแรงตอบบุคคลที่มีวาทะที่รุนแรงต่อพระองค์ บุคคลที่มาสรรเสริญเยินยอพระองค์พระองค์ก็ไม่หยิ่งผยอง พระองค์ก็ปกติอยู่เช่นกัน เพราะฉะนั้นผู้พระบิดาของพวกเราเป็นอย่างนี้สมควรแล้วหรือที่เราผู้ถวายตัวของเราให้เป็นลูกของพระพุทธเจ้า ที่จะมาแสดงบทบาทต่อเหตุการณ์อันที่รุนแรงอย่างนี้ให้เป็นไปตามรูปของเหตุการณ์ อันนี้เป็นเพียงแค่กฎธรรมดาของโลกเท่านั้น เราก็ควรจะหาอุบายวิธีมายับยั้งจิตแล้วก็น้อมนึกถึงพระพุทธเจ้า 


อีกว่าเมื่อหากเราปล่อยให้กิริยาอาการเป็นไปตามรูปของเหตุการณ์แล้วผลเสียไม่เฉพาะเราเสียเนื่องไปถึงพระบิดาของเราคือพระพุทธเจ้าผู้บรมครูและเสียถึงครูบาอาจารย์ของเราด้วยเสียถึงหมู่คณะผู้ประพฤติธรรมร่วมกันด้วย เสียถึงชาติโคตรตระกูลของเราด้วย ความเสียหายมันเนื่องกันไป ไมมีที่สิ้นสุดเพราะมันเหมือนลูกโซ่เราต้องหาอุบายวิธีมาห้ามปรามจิตของเราให้อยู่ในคำที่เรียกว่าปรกติ ไม่หวั่นไหวเป็นไปตามเหตุการณ์ที่ปรากฏที่กระทบอยู่เมื่อพวกเราเห็นสาวกหรือลูกชายลูกหญิงของพระพุทธเจ้ากระทำได้อย่างนี้พวกเราก็เรียนกว่าผู้บรรลุนิติภาวะในทางธรรมเป็นผู้มีกำลังของธรรมที่สร้างขึ้นมาสมบูรณ์ ไว้ดีแล้วไม่ปล่อยให้จิตของเรารุนแรงเป็นไปตามเหตุการณ์ เราต้องเป็นเราเองมีอิสระในตัวอาศัยเหตุการณ์เป็นสิ่งนำพาเข้าสู่ระบบของมันอยู่ตลอดเวลา ดีชั่วชั่วดีก็เป็นอันว่าเป็นไปตามรูปของมันอยู่ตลอดเวลาแปรว่าเราไม่ได้เป็นตัวของเราเองอาศัยเหตุการณ์นำพาทุกสิ่งทุกอย่างดีชั่ว ชั่วดีเป็นไปตามรูปของเหตุการณ์ตลอดเวลา 


อันนี้เรียกว่าผู้ไม่มีอิสระในตัวผู้เป็นทาสของกิเลสตัณหา เป็นทาสของอารมณ์แต่หากในเมื่อพวกเราผู้สร้างกำลังส่วนนี้สกัดกั้นไม่ให้จิตของเราเป็นไปตามรูปเหตุการณ์อันนั้นได้แล้วเราเป็นตัวของเรามีอิสระในตัวของเราสามารถพูดได้ว่าเราเป็นไท ไม่ใช่ทาสหรือจะเปล่งอุทานออกมาดัง ๆ ได้ว่า ชิตังเม ชิตังเม เราผู้ชนะ คือ ชนะอะไร ชนะเหตุการณ์และอารมณ์อันที่จะทำให้เราเสียหายเป็นไปเพื่อความสกปรกเดินต่อสายใยของภพชาติ หรือสืบต่อภพของจิต เราก็สามารถจะเปล่งอุทานว่า ชิตังเม เราผู้ชนะในเหตุการณ์อันนี้ได้แล้วจิตของเราไม่ต่อภพได้แล้ว ไม่ได้เป็นไปตามรูปของเหตุการณ์แล้ว เราชนะแล้วเราสามารถเปล่งอุทานออกมาได้ สมกับว่าเราเป็นลูกของพระพุทธเจ้าเป็นลูกศิษย์ของครูบาอาจารย์ เป็นผู้มุ่งดี หวังดี เมื่อเราทำได้อย่างนี้นั้น 


ที่สุดแล้วแดนอมตมหานฤพาน ผู้พระบิดาและพระอริยชนที่ท่านไปอยู่ เราจะเข้า ไปอยู่ในแดนอันนั้นได้แน่นอน ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วไม่มีโอกาสจะไปได้ เพราะแดนอันนี้ไม่ยอมรับบุคคลที่ตกอยู่ใต้อำนาจของอารมณ์ หรือกิเลสหรือตกอยู่ใต้อำนาจของเหตุการณ์ บุคคลที่ไม่มีอิสระในตัวปล่อยให้เหตุการณ์และอารมณ์นำพาให้เป็นไปตามรูปของเหตุการณ์และอารมณ์อยู่ตลอดเวลานั้นไม่สมควรที่จะต้องเข้าไปสู่แดนอันนี้เพราะมิใช่ผู้บรรลุนิติภาวะในทางธรรม เป็นคนอ่อนที่สุดในทางธรรม นี้เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นพวกเราผู้เป็นสาวกสาวิกาของพระพุทธเจ้าผู้มุ่งดีผู้หวังดี จงพยายามหาอุบายวิธี ทำสมาธิจิตให้เป็นไปตามรูปดังกล่าว 


แล้วเอากำลังส่วนนี้มาช่วยดังกล่าว แล้วพวกเราจะได้ดำเนินก้าวเข้าไปสู่ความหมดจด เป็นผู้มีอิสระในตัว เป็นผู้ที่เรียกว่าเป็นตัวของตัวเอง ไม่ตกอยู่ใต้อำนาจของกิเลสตัณหา ไม่ให้จิตต่อภพ เป็นไปตามสายใยของภพและหลงในมโนภาพของกิเลสหรือตัณหาที่มันสร้างขึ้นมาให้เราหลง พวกเราจะได้รู้เท่าหมดทุกกิริยาอาการ นี่เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นนี่แหละขอฝากเหตุผลอันนี้ให้ไปคิดพิจารณา 


หากในเมื่ออุบายวิธีอันนี้ถูกต้องแล้ว ตามหลักลัทธินิยมทางพระพุทธศาสนา เป็นไปตามสายทางของพระพุทธเจ้า เป็นการเจริญรอยตามยุคลบาทของพระองค์ถูกต้องแล้ว ก็ขอให้พวกเราจงพยายามดำเนินตามแล้วพวกเราจะได้มีความสุขความเจริญต่อไป


ในที่สุดยุติลงแห่งการให้อุบายวิธีในวันนี้นั้น อาตมาภาพขออัญเชิญคุณพระศรีรัตนตรัย แก้วทั้งสามจงมาคุ้มครองอภิบาลพวกเราที่กล้าเสียสละเพื่อประพฤติความดี อย่างที่เห็นอยู่นี้ จงได้ประสบแต่ความสุขความเจริญ ภัยพิบัติอันตรายอย่าได้เกิดมีมา อาตมาอธิษฐานถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์และพรที่ให้ไปนี้ จงสำเร็จ จงสำเร็จ จงสำเร็จ ในพวกท่านทั้งหลายจงทุกประการ เทอญฯ
------------------------------------
ไม่อนุญาติให้นำไปพิมพ์จำหน่าย แต่เผยแพร่เป็นธรรมทานได้

บุญนำใจ
๑๓ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๘
ที่มา http://maditation13.blogspot.com/?view=timeslide